วีโว่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำเรื่องกล้องเลื่อนได้แบบกลไก และราคาขายที่ดูสมเหตุสมผลมากที่สุดก็คือ Vivo V15 Pro ซึ่งเป็นรุ่นแรกของปี 2562 ต่างจากค่ายอื่นส่วนใหญ่ที่มักเป็น “จอแหว่ง”, “รอยบาก”, “จอหยดน้ำ”, “จอไฝ”, ฯลฯ และหากมองเผินดูเหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย คงไม่เหมาะนักสำหรับผู้ที่อยากซื้อสมาร์ตโฟนที่ต้องการความแตกต่าง และในวันนี้เราจะมาสรุปข้อดีทั้งหมด 9 เหตุผลด้วยกันครับ

Vivo V15 Pro

Vivo V15 Pro
Vivo V15 Pro

1. จอไร้ขอบ (ที่แท้จริง)

ไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็บอกว่าหน้าจอของตนนั้นไร้ขอบ แต่ใครล่ะที่จะเป็นหน้าจอไร้ขอบที่แท้จริง ข้อดีของจอไร้ขอบก็คือการได้ขนาดจอที่ใหญ่ ในขณะที่ตัวเครื่องยังคงมีขนาดเล็ก Ultra FullView Display ช่วยเปิดมุมมองที่ไร้ขีดจำกัด ไม่มีติ่งกล้องหรือขอบจออะไรให้เกะกะลูกตา ที่ทำแบบนี้ได้ก็เพราะว่า V15 Pro มีการซ่อนกล้องไว้ในตัวเครื่อง (เดี๋ยวกล่าวให้ฟังด้านล่าง) และมีการฝังระบบเซ็นเซอร์ทุกชนิดไว้ที่ขอบจอนั่นเอง

  • ขอบจอข้าง = 1.75 มม.
  • ขอบจอบน = 2.22 มม.

ทั้งหมดนี้จึงทำให้หน้าจอขนาดยักษ์ 6.39″ มีขนาดไม่เทอะทะจนเกินไป สามารถแสดงผลในอัตราส่วน 19.5:9 โดยมีอัตราส่วนหน้าจอสูงถึง 91.64% ช่วยให้สามารถใช้งานได้เต็มรูปแบบ แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาฟิล์มกันรอยมาติดไม่ได้ เพราะตัวเครื่องมีการติดกระจก 3D Glass มาให้เลยจากโรงงาน สะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้วครับ

2. กล้องหน้าป๊อปอัพ

ไม่พูดก็คงไม่ได้กับกล้องหน้าป๊อปอัพ (Elevating Front Camera) สุดจ๊าบอันนี้ โดยเป็นการออกแบบเพื่อแก้ข้อจำกัดเกี่ยวกับพื้นที่ขนาดหน้าจอ ซึ่งเมื่อทดสอบใช้งานจริงก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด สามารถเลื่อนขึ้นลงแบบอัตโนมัติเมื่อเปิดกล้องหน้า ความเร็วอยู่ที่ 0.46 วินาที สัมผัสไม่ได้ถึงความหน่วงแต่อย่างใด และผ่านการทดสอบความแข็งแรงไม่ว่าจะเป็นดึง บิดงอ กดซ้ำกว่า 300,000 ครั้ง อันนี้ไม่ใช่แค่สวยแต่ใช้งานได้จริง

3. หน้าจอสวยคมชัด

สมาร์ตโฟนจะหรูหรือดูแพงส่วนใหญ่วัดกันที่ “หน้าจอ” ซึ่งจะแยกออกได้ทันทีว่าเครื่องนี้ถูกหรือแพง V15 Pro มีการเลือกใช้หน้าจอ Super AMOLED จากผู้นำตลาดเรื่องหน้าจอ ทำให้ได้สีสันแม่นยำ สมจริง ตามมาตรฐาน P3 อยู่ที่ 100% ในอัตราความต่างของสีอยู่ที่ 10,000,000:1 เท่านั้นยังไม่พอยังได้คุณสมบัติ Always On Display แบบเดียวกับ Samsung อีกด้วย

4. สแกนนิ้วบนหน้าจอ

รุ่นนี้สามารถปลดล็อค (Biometric) ได้สองแบบคือ “สแกนใบหน้า” (2D) และ “สแกนลายนิ้วมือ” อันแรกไม่มีอะไรแปลกใหม่ขอข้ามไป แต่ทีเด็ดอยู่ตรงที่ระบบสแกนลายนิ้วมือเสียมากกว่า โดยสามารถวางนิ้วลงบนตัวหน้าจอได้เลย เป็นอะไรที่ล้ำสุดยอดและคุณสมบัตินี้ไม่ค่อยซ้ำกับใคร แถมยังอยู่เฉพาะในเรือธงเท่านั้นด้วย

5. สีใหม่ไม่ซ้ำกับใคร

ในปี 2562 สังเกตได้ว่าสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่จะเน้นการไล่สีคล้ายกันทุกรุ่น V15 Pro ใช้เทคนิค Spectrum Ripple Design คือยังคงความเป็นเฉดเดียวกันอยู่ เพียงแต่อาจแตกต่างกันในมุมตกกระทบที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นสี Topaz Blue หรือ Coral Red ต่างก็ซ่อนลวดลายเอาไว้ใต้ฝาหลัง ให้ความรู้สึกหรูหราไปในตัว

6. กล้องเทพทั้งหน้าและหลัง

กล้องหน้าถึงแม้ว่าจะเป็นแบบเลื่อน แต่อย่าได้ดูถูกกันถึงประสิทธิภาพ เพราะมาพร้อมกับความละเอียด 32MP (Camera Perfect Shot) หากคุณเป็นคนชอบเซลฟี่จะหลงใหลไปกับมัน เพราะสามารถปรับแต่งใบหน้าของคุณให้เรียวเล็ก ปรับสีผิว เอฟเฟ็กต์แสงต่าง ๆ ไปในตัวได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเอามานั่งรีทัชใหม่อีกรอบ

ส่วนกล้องหลังมาตามนัด AI Triple Camera ที่เป็นจุดขายของรุ่น

  1. 48MP Quad Pixel Sensor
  2. 8MP AI Super Wide-Angle Camera
  3. 5MP Depth Camera

AI Super Night Mode ถ่ายกลางคืนได้สวยเพราะรวมหลายภาพเข้าด้วยกัน เพิ่มความสว่าง และความคมชัดให้กับภาพ, AI Super Wide-Angle Camera เก็บภาพกว้างถึง 120 องศา แต่สัดส่วนยังไม่บิดเบี้ยว, AI Body Shaping เปลี่ยนรูปร่างให้ผอมได้ทั้งตัว (เอว, สะโพก, ขา) ทั้งในแบบรูปภาพและวิดีโอ

7. สเปกแรงเกินราคา

มาถึงตรงนี้จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเกิดได้ไปแค่สมาร์ตโฟนช้า ๆ รุ่นหนึ่ง และก็จัดสเปกให้ตามยุคสมัยไม่ผิดหวังอย่าง CPU Snapdragon 675 AIE Octa-Core, RAM 6 GB, ROM 128 GB เป็นอีกหนึ่งชิปยอดนิยมสำหรับเล่นเกม การันตีว่าสามารถเล่นเกมยอดนิยมอย่าง RoV, PUBG เปิดสุดได้ทุกอย่าง เฟรมเรตไม่ตก

8. ชาร์จไวเร็วทันใจวัยรุ่น

มาถึงตรงนี้สายเกมคงเซ็งถ้าหากมันชาร์จช้า อะแดปเตอร์รุ่นนี้มาพร้อมกับการจ่ายไฟ 9V, 2A (18W) และตัวเครื่องมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual-Engine Fast Charging ทำให้ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาที ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 3,700 mAh ได้สูงถึง 24% ส่วนสายชาร์จเป็น Micro USB ซึ่งมันก็สะดวกหาง่ายดี

9. เหมาะกับการเล่นเกม

เคล็ดลับก็คือการมาพร้อมกับ Game Mode 5.0 รุ่นใหม่ล่าสุด (Ultra-Smooth Gaming) ที่เพิ่มประสบการณ์ใช้งานตอนเล่นเกม (ตัดสายอัตโนมัติ, ไม่มีการแจ้งเตือน) มีระบบ Dual-Turbo ป้องกันเฟรมเรตตกได้ถึง 300% ส่วนใครเบื่อก็มี AI ที่ชื่อว่า Jovi ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Google ให้พอเล่นสนุกได้อยู่บ้าง

สรุป

ยอมรับเลยว่าเครื่องสวยมาก ออกแบบมาได้ลงตัวจนรู้สึกผิดหากต้องใส่เคส ดีไซน์เกินราคาเช่นเดียวกับสเปกของมัน ระบบปฏิบัติการ FunTouch OS 9 (Android 9 Pie) ไม่ต้องลุ้นว่าจะแพหรือไม่ได้อัปเดต ส่วนการเล่นเกมและใช้งานทั่วไป Snapdragon 675 AIE + RAM 6 GB บอกเลยว่าเอาอยู่สบาย

ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 14,999 บาท

ราคานี้แลกกับดีไซน์จัดเต็ม และเทคโนโลยีล้ำ ๆ เกือบทั้งเครื่องถือว่าไม่แพง แต่บางคนอาจมองว่า CPU ยังไม่ค่อยสุดจัดปลัดบอกสักเท่าไหร่ ตรงนี้ขอเรียนตามตรงว่าการใช้งานจริงแทบไม่รู้สึกเลย ส่วนเรื่องกล้องที่เป็นจุดขายมองยังไงก็ไม่เบื่อ เวลาเปิดถ่ายรูปเซลฟี่มีคนตกใจคอยถามอยู่ตลอด (ฮา)

หากใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้ผ่านตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านท่าน หรือจะสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Lazada, Shopee, ShopAt24 ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจครับ นอกจากนี้ยังมีรุ่นน้องเป็น Vivo V15 ที่ราคาประหยัดลงไปได้อีก แถมยังคงได้กล้องเลื่อนได้แบบเดียวกันครับ

หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial