Synology DiskStation DS718+ เป็นอุปกรณ์ NAS สำหรับจัดเก็บข้อมูล นอกเหนือจากคอมพิวเตอร์ รองรับการแชร์ไฟล์และเชื่อมต่อที่หลากหลาย รองรับฮาร์ดดิสก์ 2-Bay (สองลูก) และถูกออกแบบมาให้ประหยัดไฟโดยสามารถเปิดใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นอะไรที่ทำได้มากกว่าหน่วยเก็บข้อมูลเพียงอย่างเดียว

Synology DiskStation DS718+
Synology DiskStation DS718+

Synology DiskStation DS718+

ยุคสมัยนี้ดิจิทัลไฟล์เริ่มมีขนาดใหญ่มากขึ้น NAS หรือ DiskStation จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านควรมี เพียงแต่ตัวนี้ประสิทธิภาพสูงไปนิด เลยเหมาะกับ Home Office มากกว่า (หรือจะซื้อไปใช้ตามบ้านก็ได้ หากต้องการประสิทธิภาพสูง) ส่วนราคาค่าตัวก็ประมาณ 15,000 บาท

ราคาดังกล่าวเป็นเพียงกล่องไม่รวมฮาร์ดดิสก์

ในส่วนของแบรนด์ Synology ก็เป็นแบรนด์ระดับโลกที่ค่อนข้างใหญ่สัญชาติไต้หวัน มีความเชี่ยวชาญด้าน NAS โดยเฉพาะซึ่งเป็นธุรกิจหลัก จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับ Software เพราะทางบริษัทฯ จะมีอัปเดตให้อย่างสม่ำเสมอ ก็หมดห่วงได้สำหรับเรื่องความปลอดภัย และความเข้ากันได้ของอุปกรณ์อื่น

การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์

และอย่างที่กล่าวข้างต้นคือ NAS เป็นเพียงกล่องเปล่าไม่มีฮาร์ดดิสก์พ่วงมาให้ (ไม่ต้องตกใจบริษัทฯ ส่วนใหญ่ก็ขายแบบนี้) ดังนั้นผมจึงเลือกใช้งานฮาร์ดดิสก์ที่ออกแบบมาเพื่อ NAS โดยเฉพาะอย่าง WD Red แต่ถามว่าใช้ตัวอื่นได้รึเปล่า ก็บอกเลยครับว่า “หากไม่มีก็ใช้ตัวอื่นได้” ประสิทธิภาพไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่

  • 3.5″ SATA HDD – คุ้มค่าต่อราคาและความจุ (แนะนำ)
  • 2.5″ SATA HDD – ประสิทธิภาพต่ำ, ความจุต่ำ, ราคาปานกลาง
  • 2.5″ SATA SSD – ประสิทธิภาพสูง, ความจุต่ำ, ราคาแพง

สามารถใส่ฮาร์ดดิสก์ได้ความจุสูงสุด 24 TB (12 TB x 2) ซึ่งอนาคตหากไม่พอ คุณสามารถซื้อมาติดตั้งเพิ่มได้สูงสุด 7 เครื่อง (70 TB) แต่ส่วนตัวผมเก็บข้อมูลไม่เยอะ (อันที่จริงไม่มีเงินซื้อฮาร์ดดิสก์) จึงขอรีวิวเป็น 3 TB เพียงไดร์ฟเดียวพอครับ

สเปค

ไม่เพียงแค่คอมพิวเตอร์ แต่สำหรับ NAS เองก็มีสเปคเช่นเดียวกัน มีหน่วยประมวลผลและแรมไม่ต่างกันเลย ความแตกต่างก็คือยิ่งเครื่องประสิทธิภาพสูง ยิ่งสามารถทำงานได้เยอะขึ้นและใช้งานที่ซับซ้อนได้ ดังนั้นการเลือกซื้อ NAS จึงต้องให้ความสำคัญเรื่องนี้พอสมควรครับ

  • CPU Model : Intel Celeron J3455
  • CPU Speed : Quad Core 1.5 burst up to 2.3 GHz
  • RAM : 2GB DDR3L
  • HDD : 2-Bay
  • eSATA จำนวน 1 พอร์ท
  • USB 3.0 จำนวน 1 พอร์ท
  • LAN Gigabit จำนวน 2 พอร์ท
  • รองรับ IP Camera จำนวน 40 กล้อง (ต้องซื้อ Software เพิ่มเติม)

DS718+ สามารถอ่านข้อมูลด้วยความเร็วมากกว่า 226.22 MB/sec และเขียนข้อมูลได้เร็วมากกว่า 188.27 MB/sec ในกรณีที่ใช้ RAID 1 ส่วนสาเหตุที่ต้องเป็น LAN จำนวน 2 พอร์ท เพราะออกแบบมาเพื่อลูกค้าองค์กรที่ต้องการทำ Dual LAN กรณีที่ Network มีปัญหาและยังสามารถทำ Link Aggregation เพื่อเพิ่มความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล

ส่วนพอร์ท eSATA อาจไม่ค่อยนิยมเท่าไหร่นักจึงขอข้ามไป แต่ถ้าหากใครมีอุปกรณ์ที่รองรับโดยเฉพาะ ก็สามารถเอามาเป็นปัจจัยหนึ่งในการเลือกได้ เพราะความเร็วมันก็สูงกว่า USB 2.0 พอสมควร ส่วนความเร็วก็ใกล้เคียงกับ USB 3.0 ซึ่งส่วนตัวผมนิยมอุปกรณ์อย่างหลังมากกว่า

ด้านหน้ามีไฟ LED แสดงสถานะจำนวน 3 ดวง สะดวกด้วยปุ่มภายนอกและพอร์ท USB 3.0 ที่อยู่ด้านหน้า ส่วนการติดตั้งก็สามารถทำได้โดยง่าย ถอดและประกอบได้ด้วยมือเปล่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งอุปกรณ์หรือไขควงครับ (แต่หากใครต้องการล็อคกุญแจ ก็สามารถทำได้ครับ)

บริเวณด้านหน้ามีบอกชัดเจนว่าตัวไหน “ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ 1, ตัวที่ 2” ไม่ต้องเดาหยิบผิดหยิบถูก

หลังจากติดตั้งเสร็จก็สามารถเสียบสาย LAN เพื่อเข้าระบบได้เลย และตรงนี้มีข้อสังเกตเล็กน้อยเพราะอุปกรณ์ Router, Access Point, Switch และคอมพิวเตอร์ของคุณควรเป็น LAN Gigabit เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งหากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่เก่าจนเกินไปก็คงรองรับกันหมดแล้ว

DiskStation Manager 6.1
DiskStation Manager 6.1

DiskStation Manager 6.1

Synology DiskStation DS718+ มีระบบปฏิบัติการของตัวเองชื่อว่า DiskStation Manager 6.1 (DSM) โดยสามารถใช้งานได้เลยไม่ต้องลงโปรแกรมอะไร สำหรับการใช้งานก็ผ่าน Web Browser

เริ่มต้นการใช้งานก็ง่ายมาก เพียงทำไปตามขั้นตอนจนสุดท้ายคุณจะได้ URL เป็นของตัวเอง สำหรับการเข้าถึง DS718+ จากนอกบ้าน ใช้งานได้ทุกระบบปฎิบัติการไม่ว่าจะเป็น Windows, macOS หรือ Linux รองรับการเข้าถึงข้อมูลแบบ FTP, SMB2, AFP, NFS และ WebDAV

หน้าต่างควบคุมก็จะค่อนข้างละเอียดหน่อย สามารถจัดการรวมถึงติดตามข้อมูลได้หลากหลาย สามารถเลือกกำหนดสิทธิ์การใช้งานของผู้ใช้ได้ รวมถึงการดูความเร็วของเครือข่าย, การทำงานของเครื่อง, ฯลฯ โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการจัดการเครือข่ายมากนัก UI ออกแบบมาอย่างเรียบง่ายตามสมัยนิยม

ไม่เพียงแค่การเก็บข้อมูล แต่ยังมีความสามารถด้าน Network Application Server ผู้ใช้งานสามารถเลือกดาวน์โหลดได้ผ่าน Package Center (เปรียบดั่ง App Store) ซึ่งจะมีมากมายแยกย่อยกันไป ตั้งแต่ความสามารถระดับ Server ไปจนถึง Multimedia รองรับการใช้งานตามบ้านไปจนถึงองค์กรขนาดเล็ก

ตัวอย่างการใช้งาน

หากพูดโดยทั่วไปคงไม่เห็นภาพนักว่า Synology DiskStation DS718+ รุ่นนี้จะใช้งานอะไรได้ เลยขอยกความสามารถ “ส่วนหนึ่ง” มาให้ได้ชมกัน ซึ่งหากอยากได้นอกเหนือกว่านี้ ก็ยังสามารถค้นหาได้ที่ Package Center

  • Cloud Station Server เลือกใช้งาน Sync โฟลเดอร์ตลอดเวลาได้เหมือน Dropbox, OneDrive, Google Drive รองรับทั้ง Windows, macOS, Android และ iOS
  • Active Directory Server ไม่ต้องถึงขนาดซื้อ Windows Server ก็สามารถใช้งานความสามารถนี้ได้
  • Acronis True Image หากคุณต้องการสำรองข้อมูลทั้ง Android และ iOS ก็สามารถเก็บไว้ใน NAS ได้เลย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ iCloud หรือ Google Drive รายปีอีกต่อไป
  • Download Station ใช้ในการดาวน์โหลดไฟล์เข้า NAS โดยตรง ซึ่งสามารถสั่งงานจากนอกบ้านหรือมือถือได้ด้วย นอกจากนี้ยังรองรับการดาวน์โหลด BitTorrent อีกด้วยครับ
  • Mail Server ความสามารถตรงตัวสร้างเมล์เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว
  • Video Station จัดเก็บวิดีโอพร้อมรองรับการสตรีมมิ่งผ่าน AirPlay พร้อมทั้งจัดทำหน้าปกให้เรียบร้อย

และทั้งหมดด้านบนเป็นเพียงความสามารถส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังเหลือความสามาารถอีกมากมายตั้งแต่ Basic ไปจนถึง Advance เพียงแต่ว่าผู้ใช้อาจใช้เรียนรู้เพิ่มอีกสักเล็กน้อย เพราะความสามารถมันหลากหลายจริง ๆ

ข้อดี

  1. รองรับการใช้งานทั้งส่วนตัว และองค์กรขนาดเล็ก
  2. ใส่ฮาร์ดดิสก์ได้ 2 เบย์
  3. LAN จำนวน 2 พอร์ท รองรับ Dual LAN
  4. รองรับ USB 3.0 และ eSATA
  5. มีแอปพลิเคชันรองรับหลากหลาย

ข้อเสีย

  1. ราคาค่อนข้างสูง
  2. ใช้เวลาติดตั้งนาน

สรุป

นับว่าเป็น NAS อีกหนึ่งรุ่นที่มีขนาดและสเปคที่น่าสนใจ แต่หากอยากได้แบบใส่ฮาร์ดดิสก์ได้ 4 เบย์ อาจต้องมองรุ่นอื่นแทนอย่างเช่น DS418j จุดเด่นของ Synology คงหนีไม่พ้นเรื่องแอปพลิเคชันส่วนขยายตามที่ได้รีวิวไป นอกจากนี้ตัวบริษัทฯ ยังมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รวมทั้งยังมีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมออีกด้วย

ขอขอบคุณ Synology ที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ส่งมาให้รีวิว