ในการอัปเกรดคอมฯ เพื่อเล่นเกม หลายคนอาจหมดไปกับการ์ดจอเพื่อให้ปรับเกมได้ความละเอียดสูงสุด WD Black NVMe SSD (2018) ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับการประมวลผลโดยตรง แต่ก็ช่วยให้สามารถโหลดเกมได้ไวขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของระบบโดยรวม ทำให้การใช้งานต่อเนื่องไม่เป็นคอขวดจาก HDD ธรรมดาทั่วไป แถมปัจจุบันยังมีราคาที่ถูกลงเยอะจาก ราคาเปิดตัว คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่ออัปเกรดครับ

WD Black NVMe SSD (2018)
WD Black NVMe SSD (2018)

WD Black NVMe SSD (2018)

[สำหรับมือใหม่] โดยปกติแล้วหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เราจะเก็บในรูปแบบ HDD ที่เรารู้จักกัน ข้อดีก็คือมีราคาต่อหน่วยความจำถูกที่สุด แต่ข้อจำกัดจะเป็นเรื่อง “ความเร็ว” ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะอัปเกรดหน่วยประมวลผลหรือการ์ดจอดีแค่ไหน แต่หากยังใช้ HDD ก็จะมีความช้าจากอาการ “คอขวด” ซึ่งแบบที่เราสัมผัสกันได้ก็คือ

  1. เปิดคอมพิวเตอร์ช้า
  2. เปิดโปรแกรมช้า
  3. รอหน้าโหลดเกมนาน
  4. เวลาติดตั้งโปรแกรมหรือเกมใช้เวลานาน
  5. เมื่อเปิดรูปจำนวนมาก ต้องรอนานกว่าภาพจะขึ้น

โดยอาการทั้งหมดปัจจัยหลักมาจากคอขวดแบบที่พูดถึงในขั้นต้น ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะว่าฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่มีความเร็วเฉลี่ย 150 MB/s (อ้างอิงจาก : WD Blue PC Desktop Hard Drive) และจะยิ่งช้าลงไปอีกหากเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาดเล็กในโน้ตบุ๊ก แต่สำหรับการเปลี่ยนเป็น SSD จะได้ความเร็วเฉลี่ย 550 MB/s (อ้างอิง : WD Blue 3D NAND SATA SSD) และจะเร็วระเบิดถ้าหากเป็น NVMe SSD

WD Black NVMe SSD (2018) ความเร็วอ่านสูงสุด 3,400 MB/s ความเร็วเขียนสูงสุด 2,800 MB/s

จะเห็นได้ว่า NVMe คือมาตรฐานสูงสุดของความเร็ว ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปแต่แลกกับความเร็ว 22 เท่า เมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบเดิม ความลับก็คือการส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยความจำ เข้ากับหน่วยประมวลผลโดยตรง แต่ทั้งนี้คอมพิวเตอร์ก็จำเป็นต้องรองรับด้วยเช่นกัน โดยสามารถเช็คสเปกได้ด้วยตัวเองผ่านผู้ผลิตเมนบอร์ด หรือโน้ตบุ๊กที่เราซื้อมานั่นเองครับ และส่วนมากในปี 2018 หลายรุ่นจะรองรับกันเกือบหมดแล้ว

ในวันนี้เราจะลองมาทดสอบกับคอมพิวเตอร์สำนักงานอย่าง HP ProDesk 600 G3 Desktop Mini PC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กระดับกลางทั่วไป แต่ประสบปัญหาการใช้งาน (โดยเฉพาะการเล่นเกม) ที่ค่อนข้างจะช้าจากการโหลดข้อมูลผ่านฮาร์ดดิสก์ 2.5″ ทีนี้เราจะลองมาดูกันว่าการอัปเกรดจะช่วยได้มากน้อยขนาดไหน

สเปกโดยรวมของคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ก็คือ Intel Core i7-7700T, RAM 8 GB DDR4-2400, 500 GB 7200 rpm SATA ซึ่งก็เป็นสเปกระดับกลางของคอมพิวเตอร์ยุคนี้ มีความเร็วใกล้เคียงโน๊คบุ๊กทั่วไปในช่วงราคาประมาณสองหมื่น ที่วางขายอยู่ในปัจจุบัน (หากไม่นับการ์ดจอ) และพอที่จะใช้เป็นหน่วยวัดอ้างอิงสำหรับปี 2018 ได้ครับ

วิธีการติดตั้ง

ขั้นตอนการติดตั้ง WD Black NVMe SSD (2018) ก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรนัก หลังจากแกะกล่องมาจะเห็นเป็นชิปแท่งลักษณะคล้ายแรมดังภาพ หากใช้กับโน้ตบุ๊กก็ช่วยลดน้ำหนักไปได้อีกหน่อยนึง ส่วนวิธีการเช็คเบื้องต้นสามารถดูจากบอร์ดได้เลยครับ ว่ามีช่องสำหรับให้เสียบหรือไม่ แต่ถึงมีช่องก็ไม่ยืนยัน 100% ว่ามันจะรองรับ NVMe นะครับ ต้องเช็คอีกที

สำหรับวิธีติดตั้งก็ง่ายมากครับ เพียงแค่เสียบชิพเข้าไปให้ตรงร่องดังภาพ

จากนั้นก็อย่าลืมขั้นน๊อตหนึ่งตัวเพื่อทำการยึดให้มั่นคงดังภาพ

และแน่นอนว่าเราจำเป็นต้องติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ หากซื้อคอมใหม่แนะนำตอนซื้อให้เลือกอัปเกรดมาเลย เพราะหากอัปเกรดทีหลังจะเสียเวลาวุ่นวายมาก ต่างจากพวกการ์ดจอหรือแรมที่เสียบแล้วใช้ได้เลย อันนั้นอัปเกรดเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ยากนัก ส่วนความเร็วอยู่ในระดับที่ว่าติดตั้ง Windows 10 แล้วหยิบกล้องมาถ่ายรูปมันก็ขึ้นไป 25% แรงมาก แรงระดับพระเจ้า แรงจนต้องร้องขอชีวิต

ทดสอบเล่นเกม
ทดสอบเล่นเกม

ทดสอบเล่นเกม

เริ่มจากการติดตั้งเกม Fortnite สัมผัสได้เลยถึงความแรงเพราะมีการเขียนข้อมูลอยู่ที่ความเร็ว 328 MB/s แต่น่าเสียดายที่คอขวดเพราะอินเทอร์เน็ตของผมช้าทำได้เพียง 2.91 MB/s แต่ถึงอย่างไรเองก็ตามใช้เวลาไม่นานก็ติดตั้งเกมขนาด 11 GB เสร็จเรียบร้อยครับ

ส่วนการโหลดเข้าเกมก็เร็วขึ้นอย่างน่าประทับใจ ไม่ต้องไปต้มมาม่ารอเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป และจะยิ่งเห็นผลมากยิ่งขึ้นหากเป็นเกมที่ไฟล์ใหญ่มาก หรือมีฉากที่ต้องรอโหลดเพื่อดำเนินเนื้อเรื่องต่อ (ตรงนี้ CPU หรือ GPU ก็ช่วยไม่ได้) หากต้องการให้แรงครบชุดจำเป็นต้องมี SSD ที่แรงด้วยครับ

CrystalDiskMark
CrystalDiskMark

ทดสอบประสิทธิภาพ

หลังจากลองทดสอบด้วยโปรแกรมยอดนิยมอย่าง CrystalDiskMark เทียบกับ HDD แบบจานหมุน (ซ้าย) กับ SSD รุ่นใหม่ล่าสุด (ขวา) จะพบว่าประสิทธิภาพต่างกันหลายเท่าตัว ส่วนที่โฆษณาไว้ 3400 MB/s ก็ถือว่าทำได้ใกล้เคียงครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รับได้เพระอาจมีปัจจัยอื่นในด้าน Hardware ที่ส่งผล

การเล่นเกมอาจเป็นส่วนน้อย แต่สำหรับการใช้งานทั่วไปไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ตั้งแต่การเปิดไฟล์ Microsoft Office ได้อย่างลื่นไหล (รวมถึงโปรแกรม Adobe แต่เสียดายผมไม่ได้ติดตั้งไว้) การเรียกไฟล์รูปขนาดใหญ่จากกล้อง Canon EOS M50 ก็สามารถเปิดได้อย่างไม่มีสะดุด ไม่ต้องรอโหลด ขนาดที่ว่าใช้โปรแกรม Photos พื้นฐานจาก Windows 10 ก็ไม่เห็นว่าจะมีดีเลย์อะไร ตรงข้ามกับ HDD ที่ต้องรอแคชไฟล์นานพอสมควร

ข้อดี

  1. ความเร็ว ความแรงขั้นสูงสุด
  2. เทคโนโลยี 3D NAND
  3. ราคาถูกกว่าคู่แข่ง
  4. รับประกัน 5 ปี

ข้อเสีย

  1. บอร์ดจำเป็นต้องรองรับ NVMe
  2. ราคาต่อความจุยังค่อนข้างสูง

สรุป

หากคุณเป็นคอเกมที่ต้องการความสุดควรเปลี่ยน แต่ถ้าหากคุณไม่ใช่คอเกม แต่ใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างหนักหน่วงก็ควรเปลี่ยน เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า (เว้นแต่ว่าต้องการแค่ใช้งานทั่วไป อาจไม่ต้องอัปเกรดก็ได้) ส่วนเรื่องความคงทนนอกจากประกัน 5 ปี ก็วางใจได้เพราะว่า SanDisk หรือบริษัทลูก WD เองก็เป็นเจ้าของสถิติหลายอย่าง เช่น microSD ความจุมากที่สุดในโลก, microSD ความเร็วสูงที่สุดในโลก, SSD 3D NAND แบบ 64 เลเยอร์ตัวแรกของโลก, ฯลฯ

ขอขอบคุณ WD Thailand ที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ส่งมาให้รีวิว

REVIEW OVERVIEW
การออกแบบ
ใช้งานจริง
ความคุ้มค่า
คุณภาพวัสดุ
บริการหลังการขาย
Previous article[PR] Xiaomi เปิดตัวแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ POCOPHONE ส่งมอบการใช้งาน SmartPhone ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
Next article[PR] Honor ทำเซอร์ไพรส์ เปิดตัว Honor Magic 2 SmartPhone เรือธงรุ่นล่าสุดที่งาน IFA 2018
review-wd-black-nvme-ssd-2018อีกหนึ่งความแรงที่ดูเหมือนจะสิ้นเปลือง แต่พอได้ใช้งานจริงแล้วประทับใจ เพราะช่วยให้ความเร็วโดยรวมของระบบดีขึ้นมาก ไม่ต้องมานั่งเสียเวลารอโหลดและดีเลย์ ประหยัดเวลาทำงานได้มากมาย รวมถึงทำให้เล่นเกมได้โดยที่ไม่ต้องรอโหลดให้เสียอารมณ์ ราคาอาจแพงไปสักนิดแต่เมื่อเทียบกับ SSD NVMe ในตลาดเดียวกัน WD ก็ทำราคาออกมาได้ค่อนข้างถูก รวมถึงมีความน่าเชื่อถือในคุณภาพ