ปกติแล้วผมเป็นคนที่ติดการใช้งานโน้ตบุ๊กต่อจอแยกเป็นอย่างมาก ด้วยความที่สามารถแยกการทำงานพร้อมกันได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่า Windows 11 จะมีระบบให้แบ่งหน้าจอเองก็เถอะ แต่พอใช้งานจริงมันจะเสียพื้นที่ทำงานพอสมควร จนกระทั่งการมาของ Lenovo Yoga Book 9i เป็นโน้ตบุ๊กสองจออีกรูปแบบหนึ่งที่รู้สึกว่าลงตัว และในวันนี้เราจะมารีวิวเกี่ยวกับความเจ๋งของมันกันครับ

Lenovo Yoga Book 9i

ตัวกล่องมาพร้อมกับความหรูหราตามสไตล์ และสำหรับ Lenovo Yoga Series เป็นอันเข้าใจตรงกันว่ามันสามารถพับในการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น โดยในครั้งนี้ Lenovo ได้ใส่เอาหน้าจอคู่ Dual Screen สุดล้ำมาพร้อมกับชุดเมาส์และคีย์บอร์ดไร้สาย และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือปากกาสไตลัสพร้อมกับเคสฝาพับที่เป็นขาตั้งหน้าจอได้ในตัวด้วยระบบแม่เหล็ก

คุณสมบัติ

  • CPU: Intel Core Ultra 7 155U (up to 4.80GHz, 12C(2P+8E+2LPE)/14T, 12MB Intel Smart Cache)
  • GPU: Intel Graphics
  • Display: 2x 13.3″ 2.8K OLED TS
  • RAM: 32GB LPDDR5x-7467
  • SSD: 1TB NVMe PCIe 4.0 x4
  • OS: Windows 11 Home + Microsoft Office Home & Student 2021
  • Port: 3x Thunderbolt 4 (DP, Power Delivery), Always On
  • Wireless: Wi-Fi 6E(802.11ax) 2*2 + Blurtooth v5.3
  • Battery: 80Wh
  • Dimensions: 29.91 x 20.39 x 1.59 cm
  • Weight: 1.34 Kg

การออกแบบคือมาในลักษณะเหมือนเอาแท็บเล็ตสองเครื่องมาเชื่อมต่อกัน ดังนั้นจะแตกต่างจากโน้ตบุ๊กที่ฝั่งหนึ่งจะเป็นหน้าจอ และอีกฝั่งจะเป็นคีย์บอร์ด ประสบการณ์แรกที่เห็นสัมผัสได้ถึงความหรูหราทางเทคโนโลยี ดูแล้วมันเป็นอะไรที่ล้ำหน้ามาก ๆ กับการมีหน้าจอทั้งสองด้านแบบนี้ ซึ่งตัวน้ำหนักก็ไม่ได้เยอะอย่างที่คิด เพียงแค่ประมาณ 1.3 กิโล

และด้วยความบางเบาทำให้ตัวเครื่องตัดสิ่งไม่จำเป็นออกไปเยอะมาก จึงเหลือเพียงแค่ปุ่มเปิดเครื่องกับ 2 x Thunderbolt 4, Always On ที่แรงเพียงพอสำหรับการต่อ Dock แยกได้อีกสารพัดรูปแบบ (หรือจะต่อจอแยกอีกก็ได้) อีกหนึ่งปุ่มที่น่าสนใจคือปุ่มปิดกล้องที่มักไม่ได้เห็นบ่อยนัก นับว่าเป็นการใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัวอีกรูปแบบหนึ่ง

ส่วนอักฝั่งก็จะเป็น Thunderbolt 4, Always On ชาร์จไฟได้ผ่านพอร์ตนี้

Bowers & Wilkins ชื่อนี้การันตีได้ว่าเสียงดี

ถึงจะออกแบบมาเล็กและบางจะไปซ่อนลำโพงใต้เครื่องก็ดูไม่ดี Lenovo จึงเลือกเอาลำโพงมาไว้ตรงบานพับ เพื่อให้ได้เสียงที่ดีขึ้นแถมยังเป็นลำโพงจาก Bowers & Wilkins ที่ให้คุณภาพเสียงที่เป็นเลิศ และเรามักพบเห็นไปอยู่ในรถยุโรปหรูในหลายแบรนด์ ภายในเครื่องมีระบบเสียง Dolby Audio สามารถเลือกปรับเสียงให้เหมาะกับเนื้อหาอัตโนมัติ

ไม่ใช่เพียงแค่เครื่อง แต่อุปกรณ์ก็ออกแบบมาดี

ตัวเครื่องเน้นความเพรียวบางจึงไม่ได้มีเคสอะไรมาให้ และด้วยความที่มาพร้อมกับชุดคีย์บอร์ดไร้สาย ซึ่งเจ้าคีย์บอร์ดไร้สายตัวนี้เหมือนจะออกแบบมาเฉพาะรุ่นเลย คือเข้ากันด้วยระบบแม่เหล็กอย่างลงตัว อีกทั้งยังมีเคสที่ช่วยให้การพกพาง่ายขึ้น นอกจากนี้ตัวเคสเองก็เป็นหัวใจสำคัญของการใช้งาน เพราะมันคือขาตั้งหน้าจอที่ช่วยให้การใช้งานสมบูรณ์แบบ

ลองเปิดใช้งานจริงถึงกับประทับใจเลย เพราะหน้าจอเป็น OLED คุณภาพสูงให้แสงที่คมกริบด้วยความละเอียด 2.8K การมองคือไม่จำเป็นต้องเพ่งอะไรทั้งนั้น ส่วนสีดำก็ให้สีดำที่สนิทไม่มีแสงลอดออกมา และแน่นอนว่ารองรับระบบสัมผัสทั้งสองหน้าจอ ทำให้การใช้งานจริงเต็มไปด้วยความสะดวก ไม่ได้ต่างอะไรกับการสัมผัสบนแท็บเล็ตหรือสมาร์ตโฟน

ไม่ต้องพกอุปกรณ์ก็ยังใช้งานได้

หลายคนอาจสงสัยเหมือนกับผม คือถ้าตัวเครื่องเล็กและเบาแต่ต้องพกอุปกรณ์เสริมน้ำหนักรวมคงเยอะอยู่ดี แล้วการที่มันใช้งานด้วยตัวมันเองจะรอดมั้ย คำตอบก็คือเราสามารถเปลี่ยนหน้าจอล่างให้เป็นคีย์บอร์ดระบบสัมผัสได้ เท่านั้นยังไม่พอยังมี Touchpad จำลองเพื่อความรู้สึกสมจริงมาให้ใช้งานได้ด้วย หรือหากใครชอบสัมผัสจอแบบเดิมก็ทำได้

แต่ถ้าหากคุณยังอยากใช้งานสองหน้าจออยู่ ไม่ได้เน้นพิมพ์อะไรเยอะก็สามารถสร้างแค่ Touchpad จำลองก็ได้เช่นเดียวกัน เพื่อที่ว่าจะได้เหลือพื้นที่หน้าจอเอาไว้ใช้งานด้านอื่นได้อย่างเต็มประโยนชน์ โดยขนาดของ Touchpad เราสามารถกำหนดเองได้ตามต้องการ และเวลาเราลากหรือเลื่อนผ่านก็ให้อารมณ์เหมือนกับโน้ตบุ๊กปกติทั่วไปนั่นเอง

คีย์บอร์ดคือความลับที่ซ่อนอยู่

อย่างที่บอกคือไม่เพียงแค่เครื่อง แต่รวมถึงอุปกรณ์เขาออกแบบมาได้ดีและเหมือนสร้างมาเฉพาะรุ่นจริง ๆ อย่างภาพด้านบนผมวางบนหน้าจอจะมีแม่เหล็กดูด จากนั้นเครื่องจะปรับโหมดเป็นหน้าจอขนาดเล็กให้ทันที (ไม่ได้แสดงผลทั้งหมด) ซึ่งตรงนี้สามารถเลือกปรับเป็น Widget หรืออื่น ๆ ได้สารพัดที่อยากจะวางในการใช้งานแบบโน้ตบุ๊กทั่วไป

หรือหากบางคนไม่ถนัดในการสัมผัสหน้าจอ (หรือต่อเมาส์) ก็สามารถแปะคีย์บอร์ดบริเวณด้านบนแทนด้านล่าง โดยรูปแบบการใช้งานจะปรับเปลี่ยนไปจากหน้าขนาดเล็ก จะกลายเป็นรูปแบบ Touchpad ที่เราคุ้นเคยแทน มาถึงจุดนี้หลายคนจะเริ่มนึกถึงการใช้งานโน้ตบุ๊กทั่วไปได้เป็นอย่างดี แต่ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะมันไม่ได้ใช้สองหน้าจอ

สองจอยกระดับการใช้งาน

การวางหน้าจอแบบนี้จะทำไม่ได้เลยหากปราศจากเคสฝาพับที่เป็นขาตั้งหน้าจอ โดยสามารถปรับได้สองระดับและมันแข็งแรงมาก ๆ ซึ่งสองหน้าจอนี้สามารถตั้งให้ทำงานอิสระแยกกันหรือจะต่อจอเดียวเป็นจอใหญ่ก็ได้ (แต่แนะนำแบบแรกมากกว่า) เหมาะกับคนที่ทำงาน Multi-Tasking หรืองานที่จำเป็นต้องเปิดสองจอเพื่อเปรียบเทียบกัน หรือเอาตรง ๆ คืออย่างผมก็แค่ใช้เปิดดู YouTube เล่นไปด้วยระหว่างการทำงาน เพียงเท่านี้ก็ฟินแล้วครับ มันเป็นอะไรที่สะดวกมาก ๆ เพราะไม่ต้องคอยสลับจอไปมาตลอดเวลาให้วุ่นวาย

ไม่เพียงแค่แนวนอน แต่สามารถใช้งานในแนวตั้งได้ด้วย เพราะในเครื่อง Lenovo Yoga Book 9i สามารถตรวจจับการหมุนของเครื่องได้ หากใครทำงานสายตกแต่งภาพก็สามารถจัดการภาพแนวตั้งได้ง่ายขึ้น หรือบางคนอาจชินกับการเข้าหน้าเว็บแล้วดูหน้าเว็บแบบยาว ๆ การวางแบบนี้ก็สามารถใช้งานได้สะดวกไม่แพ้กัน และที่สำคัญคือเราสามารถหมุนมันกลับได้ตลอดเวลา และแน่นอนว่าโน้ตบุ๊กในท้องตลาดทั่วไปเราไม่สามารถทำแบบนี้ได้ อันนี้ก็เป็นความสะดวกในการทำงานรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ต้องยึดติดกับแบบเดิม ๆ

และด้วยความที่มันเป็นสองหน้าจอ ที่มีสเปกเหมือนกันและขนาดเท่ากันทุกประการ ทำให้การใช้งานจริงราบลื่นไม่สะดุด เราสามารถแยกการใช้งานสองจออิสระจะแบ่งบน-ล่างหรือซ้าย-ขวายังไงก็ได้ หรือหากอยากรวมหน้าจอให้เป็นหน้าจอใหญ่อันเดียวไปเลยก็สามารถทำได้เช่นกัน อย่างเช่นด้านบนคือการท่องเว็บแบบเต็มพื้นที่ขนาดหน้าจอ หรือบางงานที่คุณต้องการดูภาพรวมแบบใหญ่ ๆ ชัด ๆ เช่นการดูไฟล์ Excel อันนี้ก็สะดวกต่อการใช้งานดี แต่จะไม่เหมาะกับการดูภาพยนตร์เท่าไหร่เพราะมีเส้นแบ่งหน้าจอตลอดเวลานั่นเอง

ปิดท้ายไปด้วยอีกหนึ่งโหมดหน้าจอที่ชอบเป็นการส่วนตัว ผมมักจะดู Shorts และ TikTok ไปเรื่อยระหว่างการทำงาน ในขณะที่การทำเอกสารแนวตั้งผมชอบใช้งาน เพราะจะได้พื้นที่การทำงานมากกว่าแนวนอน หรือแม้กระทั่งการเปิดหรือเปรียบเทียบกันระหว่างเอกสารก็ทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น สำหรับคนทำงานสายตัดต่ออันนี้ก็น่าจะรักเลย เพราะสามารถดูงานตัดและงานพรีวิวได้ตลอดเวลา หรือจะเป็นแฟนผมที่ทำงานแล้วต้องเปิดไลน์เพื่อประสานระหว่างแผนกตลอดเวลา อันนี้ก็สะดวกไม่ต้องคอยสลับจอไปมาเพื่อตอบข้อความ

ส่วนการใช้งานโหมดพื้น ๆ อย่างกางเต็นท์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Lenovo Yoga Series อันนี้ก็ยังใช้งานได้อยู่ (คนส่วนใหญ่มักเอาไว้ดูหนังบนพื้นที่ขนาดเล็กเช่นโต๊ะกินข้าว) เพิ่มเติมคือการที่เป็นสองหน้าจอแล้วเราสามารถเปิดอีกหน้าจอให้แสดงผลเหมือนกัน เท่ากับว่าเวลาเข้าประชุมหรือพบลูกค้า เราสามารถนำเสนองานไปด้วยพร้อมกับไม่ต้องไปนั่งเบียดกับเขา อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความสะดวกในการใช้งานขึ้นอยู่ว่าไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนเป็นแบบไหน สามารถเลือกเอาจุดเด่นไปปรับการใช้งานให้เหมาะกับเราได้เลยครับ

สุดท้ายเลยก็คือโหมดแท็บเล็ต สามารถพับจอให้สุดและถือแบบนี้ได้ทั้งแบบแนวตั้งและแนวนอน โดยเจ้าเครื่อง Lenovo Yoga Book 9i จะทำการปิดหน้าจออีกฝั่งให้โดยอัตโนมัติ (ไม่งั้นคงตลกแย่) เราก็สามารถเอามาถือใช้งานได้เหมือนกับแท็บเล็ตธรรมดาทั่วไป เรียกได้ว่าซื้อโน้ตบุ๊กเหมือนได้แท็บเล็ต Windows 11 มาถือเล่นไปด้วยในตัว

ที่ยังไม่ได้พูดถึงก็คือปากกาสไตลัสที่แถมมา ส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่นัก แต่คิดว่าหลายคนคงจะได้ใช้สำหรับเอาไว้จดงานหรือคอมเม้นต์งานต่าง ๆ อันนี้ก็มีไว้ให้ใช้งานเช่นเดียวกัน พร้อมกับโปรแกรมของทาง Lenovo มาเพื่อใช้ในการจดบันทึกได้อย่างรวดเร็ว เอาเป็นว่าใครติดปากกาสไตลัสตอนนี้ก็มีให้ใช้งานกันแบบครบเครื่องกันไปเลย

ข้อดี

  1. โน้ตบุ๊กสองจอที่ใช้งานได้จริงและสะดวก
  2. มีอุปกรณ์ให้ครบเพื่อการใช้งานเต็มรูปแบบ
  3. งานประกอบดีระดับพรีเมี่ยม

ข้อเสีย

  1. ราคาค่อนข้างสูง
  2. ไม่มีพอร์ตหูฟัง 3.5 มม.

สรุป

โดยรวม Lenovo Yoga Book 9i นั้นเป็นโน้ตบุ๊กที่ค่อนข้างมีอัตลักษณ์เฉพาะทาง เหมาะกับผู้บริหาร (หรือบางทีก็พนักงานทั่วไป) ที่ต้องประชุมบ่อยและสามารถเปิดอีกจอสั่งงานอื่นไปได้ด้วย หรือจะเป็นสายกราฟิกที่ต้องเปิดงานเปรียบเทียบสองจอ ต้องยอมรับว่าเขาออกแบบ UX และอุปกรณ์ต่าง ๆ มาได้อย่างลงตัวจริง ๆ แทนที่จะต้องพกแท็บเล็ตเครื่องและโน้ตบุ๊กเครื่อง กลายเป็นเหลือแค่ Lenovo Yoga Book 9i เพียงเครื่องเดียวก็ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกอย่างแล้ว

หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial