เมื่อปีที่แล้วเราได้รีวิว WD_BLACK SN750 โดยในปีนี้ก็มีเปิดตัว WD_BLACK SN850 แต่สำหรับคนที่อยากได้ความประหยัด WD_Black SN750SE คือช่องว่างตรงกลางที่มาแทนที่ โดยมีการอัปเกรดเทคโนโลยีตามสมัยนิยม PCIe Gen4 แต่ก็ยังสามารถใช้ร่วมกับ PCIe Gen3 เพื่อรองรับการเกมรุ่นใหม่ในอนาคต

WD_Black SN750 SE

สำหรับหน่วยความจำประเภท NVMe SSD รุ่นนี้มีให้เลือกทั้งหมดสามรุ่นคือ 250 GB, 500 GB และ 1 TB สำหรับคนที่มีแผนอัปเกรดในอนาคต ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะมันรองรับทั้ง PCIe Gen4 และ PCIe Gen3 ซึ่งหากเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง WD_BLACK SN750 ที่ทำความเร็วอ่านได้เพียง 3,470 MB/s ก็เท่ากับว่า WD_Black SN750 SE มีประสิทธิภาพอ่านดีกว่านิดหน่อย 3,600 MB/s (ประมาณ 3.75%)

ความเร็วในการอ่าน

  • 1 TB : 3,600 MB/s
  • 500 GB : 3,600 MB/s
  • 250 GB : 3,200 MB/s

ความเร็วในการเขียน

  • 1 TB : 2,830 MB/s
  • 500 GB : 2,000 MB/s
  • 250 GB : 1,000 MB/s

ความทนทาน

  • 1 TB : 600 TBW
  • 500 GB : 300 TBW
  • 250 GB : 200 TBW

ราคาเปิดตัวในประเทศไทย

  • 1 TB : 6,890 บาท
  • 500 GB : 3,790 บาท
  • 250 GB : 2,150 บาท

ดีสุดก็คงหนีไม่พ้นรุ่น 1 TB ซึ่งถ้าหากงบประมาณไม่ติดขัดอะไรเราก็ขอแนะนำ เพราะได้ทั้งความเร็วในการอ่านและเขียนที่มากกว่า รวมถึงอายุการใช้งาน (Endurance) ที่มากกว่า TBW หมายถึง Terabytes Written แปลตรงตัวเลยก็คือจำนวนไบต์ที่เขียนได้ทั้งหมด แต่ถ้าคนใช้งานทั่วไปก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับตัวเลขพวกนี้มาก เพราะถึงอย่างไร WD ก็มีการรับประกัน 5 ปี ให้กับทุกรุ่นอยู่แล้ว

คุณสมบัติเด่น

  • WD_BLACK SN750 SE NVMe SSD ใช้เทคโนโลยี PCIe Gen4 (ที่สามารถใช้ได้กับรุ่นเก่า คือ PCIe Gen3) รองรับการเกมรุ่นใหม่ในอนาคตได้
  • ประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดที่ต่อเนื่อง ด้วยความเร็วอ่านสูงสุด 3,600 MB/s จึงช่วยยกระดับประสิทธิภาพของอุปกรณ์เล่นเกม และประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้
  • ลดเวลาในการโหลดทำให้เล่นเกมได้ยาวนานขึ้น 
  • เข้าเกมเร็วสามารถกลับเข้าสู่เกมได้เร็วขึ้นกว่าที่เคย
  • WD_BLACK Dashboard ที่ช่วยเช็คสภาวะ/สุขภาพของไดรฟ์ 
  • ฟีเจอร์โหมดการเล่นเกม (Gaming Mode) ช่วยให้ SSD มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับการเล่นเกม แม้แต่ตอนที่เกมเมอร์กำลังแชทกับเพื่อนหรือสตรีมเกมอยู่ก็ตาม
  • จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ด้วยความจุให้เลือกหลายขนาด 250 GB, 500 GB, 1 TB ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บเพียงพอสำหรับเกมล่าสุดและการอัพเดตใหม่ ๆ ในอนาคต
  • WD_BLACK SN750 SE NVMe SSD ใช้พลังงานน้อยลงถึง 30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า 
  • M.2 form factor ที่บางและเล็ก
  • การรับประกันแบบจำกัดเงื่อนไขนาน 5 ปี

รุ่นนี้ถือว่าบางมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน เท่ากับว่าสามารถใส่ Notebook ได้ทุกรุ่นแบบสบาย ชิปหน่วยความจำถูกพัฒนาให้เหลือเพียงฝั่งเดียว ช่วยในการระบายความร้อนได้ดีขึ้น และสำหรับคนที่อยากเอาไปติด Heatsink ก็ทำได้ง่ายดายเพราะไม่มีแผ่นปิดแล้ว เอาไปใส่ซิลิโคนแล้วแปะแผ่น Heatsink ช่วยระบายได้เพิ่มเติม

การติดตั้งก็เหมือนกับ NVMe SSD ทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ หากต้องการความเร็วสูงสุดก็จำเป็นต้องมีเมนบอร์ดที่รองรับ PCIe Gen4 แต่ถ้าหากยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี (ยังไม่ได้อัปเกรด) ก็สามารถใช้ร่วมกับ PCIe Gen3 ไปได้ก่อน ซึ่งทาง TechHangout ทดสอบได้ความเร็ว 3,446 MB/s (Read) และ 2,853 MB/s (Write) เลยทีเดียว

เนื่องจากผู้รีวิวไม่ได้ตรวจสอบสเปกเครื่องตัวเองก่อน เพราะมี Notebook เป็นชิป AMD Ryzen 2500U แล้วมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก เลยขออิงผลการทดสอบจาก WD ที่ใช้สเปกรองรับกับอุปกรณ์ได้ดีกว่าอย่าง AMD Ryzen 9 5950X + Asus Prime X570 Pro Zen3 Vermer + 32 GB 3200 MHz DDR4 CL 16 DIMM บนระบบปฎิบัติการ Windows 10

สำหรับคนเล่นเกมแนะนำให้โหลด Western Digital Dashboard มาติดตั้งเพราะนอกจากจะช่วยตรวจสุขภาพ SSD ให้แล้วยังสามารถ เปิดฟีเจอร์โหมดการเล่นเกม (Gaming Mode) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ด้วย อารมณ์คล้ายกับการ Overclock ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อีกนิด พอเลิกเล่นเกมก็ปิดได้เลย

ข้อดี

  1. ความเร็วสูงสุด 3,600 MB/s เร็วกว่า WD_Black SN750 ประมาณ 3.75%
  2. ใช้พลังงานต่ำกว่า WD_Black SN750 ประมาณ 30% (เห็นผลกับ Notebook มากกว่า)
  3. รองรับมาตรฐาน PCIe Gen 4 แต่ก็ยังใช้ได้กับ PCIe Gen 3
  4. ฟีเจอร์โหมดการเล่นเกม (Gaming Mode) เพิ่มความเร็วได้อีกนิด
  5. รับประกันยาวนาน 5 ปี

ข้อเสีย

  1. ถ้าบอร์ดเป็น PCIe Gen4 แนะนำเป็น WD_Black SN850 จะเร็วกว่ามาก

สรุป

น่าจะเหมาะกับคนที่ยังใช้ PCIe Gen 3 แต่มีแผนว่าอนาคตอาจอัปเกรดเป็น PCIe Gen 4 ซึ่งการใช้งานโดยรวมเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนก็ดีขึ้น (เล็กน้อย) หากใครใช้ WD_Black SN750 ก็ไม่แนะนำให้เปลี่ยน แต่ถ้าต้องการซื้อเป็นตัวแรก WD_Black SN750 SE ตอบโจทย์ครับ (เพราะไม่รู้จะไปซื้อรุ่นเก่าทำไม) เร็วกว่าและใช้พลังงานน้อยลง 30% กับขนาดเล็กบางเบา