หากราคา Vivo Y50 ยังเกินงบอยู่เราขอแนะนำ Vivo Y30 ที่ลักษณะภายนอกรวมถึงกล้องแทบจะถอดกันมา เพียงแต่มีการปรับสเปกลดลงนิดหน่อย เพื่อให้อยู่ในงบประมาณไม่เกิน 7,000 บาท และหากมองเผิน ๆ แทบจะหาความแตกต่างกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ส่วนตัวเราเชื่อว่า Vivo Y30 จะเป็นสมาร์ตโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่ขายดีของวีโว่ เพราะได้ทั้งกล้อง ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ แบตเตอรี่ที่อึด แม้ว่าสเปกจะเป็น MediaTek Helio P35 (MTK6765) และได้ RAM 4 GB + ROM 128 GB แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป

Vivo Y30

ในส่วนของ Vivo Y30 เปิดตัวราคา 6,999 บาท เป็นช่วงราคาที่เหมาะสมสำหรับสมาร์ตโฟนระดับกลาง (ค่อนไปทางล่างนิดหน่อย) แต่ก็สามารถตัดสินใจซื้อได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร โดยเฉพาะกับนักเรียน-นักศึกษาที่มีงบประมาณจำกัด แต่อยากได้สมาร์ตโฟนคุณภาพสูงพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจากความคิดของผมสมาร์ตโฟนราคาไม่เกินห้าพันบาท ส่วนมากพอเอามาใช้งานจริงค่อนข้างที่จะ “ตึงมือ” มากไปหน่อย และมาตรฐาน RAM 4 GB + ROM 128 GB ก็ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ดีสำหรับการใช้งานในปี 2020

ในรุ่นของ Vivo Y30 ถูกจัดอยู่ในประเภท Y-Series เหมาะกับการใช้งานทั่วไปของคนที่เน้นความคุ้มค่า ตัดสเปกในส่วนที่ไม่จำเป็นหลาย ๆ ส่วนออกไป เพื่อให้ได้ราคาที่คุ้มค่าที่สุด และนี่ก็เป็นครั้งแรกของหน้าจอ Ultra O Screen ที่ถูกจับเข้ามาอยู่ในตระกูล Y-Series เช่นเดียวกับ Y50 (ปกติหน้าจอ Ultra O Screen จะพบเจอใน V-Series เท่านั้น) เพียงแต่มีขนาดหน้าจอที่เล็กลงมาหน่อยเหลือเพียง 6.47″ ซึ่งหากเทียบกับแบรนด์อื่นก็ถือว่าใหญ่กว่าอยู่ดี ตอบโจทย์การใช้งานของคนที่ชอบหน้าจอขนาดใหญ่

อุปกรณ์ที่แถมมา

  1. ตัวเครื่อง
  2. เคสซิลิโคนใส
  3. อะแดปเตอร์ 5V/2A
  4. สายชาร์จ USB-C

สเปกและคุณสมบัติ

  • ระบบปฏิบัติการ Android 10 (ครอบทับด้วย Funtouch OS 10)
  • หน้าจอ LCD HD+ Ultra O Screen 6.47″ (ความละเอียด 1560 x 720 พิกเซล)
  • หน่วยประมวลผล MediaTek Helio P35 (MTK6765)
  • แรม 4 GB
  • รอม 128 GB (รองรับ microSD สูงสุด 256 GB)
  • กล้องหลัง AI Super Camera
    • กล้องหลัก 13 MP (F/2.2)
    • กล้องมุมกว้าง 8 MP (F/2.2)
    • กล้องละลายฉากหลัง 2 MP (F/2.4)
    • กล้องมาโคร 2 MP (F/2.4)
  • กล้องหน้า 8 MP (F/2.05)
  • ระบบสแกนลายนิ้วมือ
  • แบตเตอรี่ 5,000 mAh
  • ขนาด 162.04 x 76.46 x 9.11 มม.
  • น้ำหนัก 197 กรัม

ตัวเครื่องมีให้เลือก 2 สี น้ำเงิน (Dazzle Blue), ขาว (Moonstone White) โดยตัวที่รีวิวจะเป็นสีน้ำเงินเงางาม ดูดีมีเสน่ห์ ส่วนสีขาวจะเหมือนหยกที่มีประกายมุกระยิบระยับ ให้สีสันสวยงาม และมีสไตล์ “Dazzling 3D Colors” นอกจากนี้ยังให้ความรู้สึกสะดวกสบายต่อการถือ ตัวเครื่องโค้งรับอุ้งมือ (3D Micro Arc) ให้น้ำหนักเครื่องที่เบาและดูหรูหรา ส่วนความหนาเครื่องอยู่ที่ประมาณ 9 มม. ไม่น่าเชื่อว่าสมาร์นโฟนราคาไม่เกินเจ็ดพันบาท จะให้ความรู้สึกที่สวยเด่นเป็นสง่าได้มากขนาดนี้ หน้าตาดูดีถือไปไหนแล้วไม่อายใคร

ถึงแม้จะเป็นรุ่นเล็กแต่ก็ได้เปลี่ยนมาใช้งาน USB-C แบบเต็มรูปแบบ เป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่ควรมีของสมาร์ตโฟนปี 2020 เพื่อให้เข้ากันได้กับอุปกรณ์เสริมในท้องตลาดที่เริ่มเป็น USB-C นอกจากนี้ก็ยังมีการคงไว้ซึ่งพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. เพราะเป็นช่องเสียบหูฟังแบบมาตรฐาน ที่แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่ก็ต้องเป็นที่ต้องการอยู่ ส่วนหูฟังรุ่นนี้ไม่มีแถมมาให้นะครับ เพราะเข้าใจว่าด้วยราคาที่ทางวีโว่ต้องการทำให้ได้ “ถูกที่สุด” จึงตัดสิ่งที่บางคนไม่ได้ใช้ออกไป หากใครต้องการหูฟังอันที่จริงเดี๋ยวนี้ราคาหลักร้อยแต่เสียงดีก็มี

ระบบสแกนลายนิ้วมือไม่มีบนหน้าจอ เพื่อให้ได้สมาร์ตโฟนราคาประหยัด จึงมีการเปลี่ยนตำแหน่งมาไว้ที่ด้านหลังเครื่องแทน ส่วนตัวว่าแบบนี้ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร สามารถใช้งานได้แม่นยำและสะดวกกว่าบนหน้าจอด้วยซ้ำ เพียงแต่ความสวยงามจะลดลงไปบ้าง ส่วนความเร็วและความแม่นยำในการสแกนยังคงเหมือนเดิม และหากใครไม่ชอบจริง ๆ ก็ยังมีระบบสแกนใบหน้าแบบ 2D ให้เลือกใช้งาน ส่วนกล้องหลังมาเป็นกล้องชุดเดียวกับ Y50 ไม่ได้มีการลดหรือปรับสเปกอะไร หากเข้าใจไม่ผิดน่าจะเป็น Hardware ตัวเดียวกันด้วยซ้ำ

ตัวเครื่องเป็นแบบสองซิมรองรับ 4G ทั้งคู่แบบไม่ต้องแชร์ช่องเสียบ microSD มาพร้อมกับหน้าจอ LCD ที่ถึงแม้สีจะไม่ได้สดใสเวอร์เหมือน AMOLED แต่ก็ใช้งานได้ปกติทุกประการ ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ HD+ ได้ทั้งเรื่องประหยัดแบตเตอรี่ และไม่กินสเปกมากจนเกินไป (เพิ่มเติม : เล่นเกมยิ่งจอละเอียดเท่าไหร่ ต้องใช้ทรัพยากรเครื่องมากเท่านั้น) หน้าจอขนาด 6.47″ มีรูกล้องเจาะในหน้าจอทำให้ใช้งานได้แบบไม่เกะกะ โดยทางวีโว่เรียกหน้าจอแบบนี้ว่า Ultra O Screen เหมาะกับการเล่นเกมและรับชมภาพยนตร์

กล้องหน้าถึงจะความละเอียด 8 MP (F/2.05) แต่ได้รับการผลักดันอย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย Software จากทางวีโว่ เพราะไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟนราคาเท่าไหร่ วีโว่มักจะเป็นหนึ่งในเรื่องเซลฟี่เสมอ สามารถปรับหน้าเนียนได้แบบไม่เวอร์ ปรับความสว่าง ปรับรูปทรง ฯลฯ เหมาะกับคนที่ชอบเซลฟี่เป็นอย่างยิ่ง ประสิทธิภาพเอาชนะแบรนด์คู่แข่งที่เป็นหลักหมื่นได้เลย แต่ถ้าใครอยากได้ความละเอียด 16 MP ที่ชัดเพิ่มมาอีกเท่าตัว ก็คงต้องบวกเงินเพิ่มอีกพันบาทเพื่อไปซื้อ Y50 ที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ

Dazzling 3D Colors สีสันดูสง่างาม

วัสดุและงานประกอบ

พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อว่าเครื่องนี้ราคาไม่ถึงแปดพันบาท ตัวงานประกอบทำออกมาได้ระดับ A+ สัมผัสได้แต่ความหรูหรา เรียกว่าครั้งนี้ทางวีโว่ทำการบ้านมาได้ดีเลิศ หากมองแบบผ่าน ๆ ทั่วไปก็ดูคล้ายกับ V-Series อยู่เหมือนกัน จุดเด่นของความแตกต่างระหว่าง Y30 และ Y50 ภายนอกเหมือนราวกับเป็นรุ่นเดียวกัน ถ้าหากไม่แยกสีก็คงจะดูไม่ออก (ผมเองยังเผลอหยิบสลับตั้งหลายรอบ) การวางมาตรฐานให้กับ Vivo Y30 เรียกว่าตายทั้งวงการ ด้วยราคาเพียงแค่นี้แต่ได้กล้อง AI Super Camera เรียงกันถึง 4 เลนส์

ราคาถูกลง แต่จอกว้างเหมือนเดิม

แม้ว่าราคาจะถูกลงหนึ่งพันบาท แต่ก็มาพร้อมกับหน้าจอแบบใหม่ Ultra O Screen ขนาดหน้าจอ 6.47″ (เล็กลงนิดหน่อย) ความละเอียด HD+ (จากเดิมที่เป็น Full HD) แต่เมื่อเทียบสัดส่วนพื้นที่หน้าจอ ก็ยังคงสูงเหมือนเดิมถึง 90.77% อัตราส่วนจอภาพ 19.5 : 9 ใช้รับชมภาพยนต์ได้เต็มตาไม่มีสะดุด ไม่มีรอยบากมารบกวนจิตใจ นอกจากนี้ยังมีการย้ายเอาสแกนลายนิ้วมือไปไว้ด้านหลัง ทำให้พื้นที่ด้านหน้าจอมีเหลือมากยิ่งขึ้น สามารถชิดขอบจอได้มากกว่าเดิม ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป

แบตเตอรี่อึดใช้งานจนลืม

จากสเปกเดิมที่แบตเตอรี่ 5,000 mAh ก็อึดจะแย่อยู่แล้ว บวกกับจอที่มีความละเอียด HD+ ยิ่งทำให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับหน่วยประมวลผลเป็น MediaTek Helio P35 (MTK6765) ที่ให้ความแรงคุ้มและประหยัดพลังงาน มีการปรับจูนเพื่อรีดประสิทธิภาพได้อย่างดีผ่าน Multi-Turbo 3.0 หมดปัญหา Android ยอดฮิตที่สมัยก่อนใช้งานไปนาน ๆ แล้วเครื่องจะเริ่มรู้สึกช้า โดยรวมแล้วเป็นเครื่องที่ค่อนข้างลงตัวในการใช้งาน ไม่ต้องพกแบตเตอรี่สำรองติดตัวก็อยู่ได้เกินวันแบบสบาย ๆ แม้ว่าจะใช้งานหนักก็ตาม

ระบบปฎิบัติการใหม่ล่าสุด อัปเดตแบบไม่มีกั๊ก

ตัวเครื่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 (ครอบทับด้วย Funtouch OS 10) ใช้งานง่ายตอบสนองทุกความต้องการ Software ใหม่ล่าสุดสดใหม่มาตั้งแต่โรงงานแบบไม่มีกั๊ก มาลูกเล่นให้ใช้งานมากมายตั้งแต่การแสดงผลแสงไฟ เมื่อทำการเสียบสายชาร์จหรือเปิด-ปิดหน้าจอ แล้วก็มาพร้อมกับผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi ที่จะมาช่วยดูแลสุขภาพและการใช้งานของคุณ ช่วยจัดการข้อมูลในชีวิตประจำวัน เตือนเรื่องการออกกำลังกาย แบบข้อมูลที่เฉพาะของบุคคล

กล้องคล้ายกับรุ่นพี่

Vivo V30 มีกล้องหลังที่เหมือนกับ Vivo V50 ทุกประการ (ยกเว้นกล้องหน้าที่ไม่เหมือนกัน) โดยมีลักษณะเป็นกล้องแบบ 4 เลนส์ (Quad Camera) โดยทางวีโว่เรียกมันว่า “AI Super Camera” มีคุณสมบัติการใช้งานที่หลากหลาย แต่ไม่มีระบบถ่ายวิดีโอแบบกันสั่น (Ultra Stable Video) และโหมดถ่ายภาพกลางคืน (Night Mode) สามารถถ่ายได้ทั้งมุมกว้าง (Super Wide-Angle), สามารถถ่ายแบบละลายฉากหลังได้เนียน (Bokeh), หรือใช้ถ่ายวัตถุขนาดใกล้เพื่อเปิดรับมุมมองใหม่ (Macro), โดยรวมแล้วช่วยให้การถ่ายรูปและวิดีโอในชีวิตประจำวันตอบโจทย์ขึ้น

ภาพจากกล้องหลัง

ภาพจากกล้องหน้า

ประสบการณ์การใช้งานที่เหนือระดับ

อย่างที่กล่าวเรื่องสเปกไปก่อนหน้า ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยประมวลผลระดับกลาง แต่การปรับแต่ผ่าน Software ช่วยให้ดึงประสิทธิภาพมาได้สูงกว่าแบรนด์อื่น Multi-Turbo 3.0 ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี VPG (Vivo Process Guardian) ผ่านทาง Center Turbo ที่ช่วยให้การเรียกใช้งานแอปพลิเคชั่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และ AI Turbo ที่ทำงานได้อย่างชาญฉลาด แก้ปัญหาของระบบที่เกิดจากการเรียกแอปพลิเคชันล่วงหน้าได้ถึง 75% และเร็วขึ้นราว 20%

และก็ยังมี Jovi ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่จะมาช่วยดูแลสุขภาพอย่างชาญฉลาด จัดการข่าวและบริหารการแจ้งเตือน แนะนำในการดูแลสุุขภาพ เช่น เตือนในการขยับร่างกาย การนับก้าวเดิน เตือนให้ดื่มน้ำในปริมาณที่ร่างกายต้องการ ผ่านการคำนวณจากอายุ น้ำหนัก (ข้อมูลแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน) อีกทั้งยังช่วยวางแผนการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน ช่วยให้มีแรงขับเคลื่อนเหมือนมีโค้ดส่วนตัว มีระบบกล้องที่พัฒนาร่วมกับ Google ในการสแกนผ่านทาง Jovi Vision

ข้อดี

  1. หน้าจอ Ultra O Screen ขนาดใหญ่ 6.47″
  2. หน่วยเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ ROM 128 GB
  3. สีและดีไซน์สวยเกินราคา (Dazzling 3D Colors)
  4. แบตเตอรี่อึด 5000mAh
  5. เพิ่มประสิทธิภาพด้วย Multi-Turbo 3.0

ข้อเสีย

  1. ไม่แถมหูฟังมาให้
  2. ไม่มีระบบชาร์จเร็ว
  3. หน้าจอ HD+

สรุป

ราคาถูกลงมาอีกนิดกับ Vivo Y30 สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด และถึงแม้ว่าจะจ่ายน้อยแต่ก็ได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถเล่นเกมและดูหนังได้สบาย (แต่ถ้าอยากเต็มอรรถรสแบบ Full HD แนะนำให้ไป Vivo Y50) หน่วยความจำ 128 GB ให้เยอะแบบเหลือเฟือเมื่อเทียบสมาร์ตโฟนราคาเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากที่ได้รีวิว RAM 4 GB ตอนแรกก็เป็นห่วงว่าจะพอมั้ย ใช้จริงแล้วเครื่องจะอืดรึเปล่า ปรากฎว่าทางวีโว่ปรับแต่ง Funtouch OS 10 มาอย่างดี ไม่มีอาการหน่วงระหว่างการใช้งานให้เห็น วางใจได้สำหรับคนซื้อเล่นเกม

หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial