ถ้าชีวิตคุณไม่หยุดเพียงแค่ถ่ายรูป แต่ต้องการถ่ายวิดีโอเป็นชีวิตจิตใจ vivo X80 คือคำตอบ พิสูจน์มาแล้วด้วยการถูกใช้ถ่ายทำภาพยนตร์สั้น ทางหนีไฟ The Final Escape ที่ทั้งเรื่องถ่ายทำโดย vivo X80 Series 5G นับว่าเป็นปรากฎการณ์ครั้งใหม่ของกล้องสมาร์ทโฟน ที่ออกแบบมาเพื่อการถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะ
vivo X80
ในรุ่นนี้พัฒนาต่อยอดมาจาก vivo X70 Series 5G โดยในไทยแบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ vivo X80 และ vivo X80 Pro และทั้งคู่นี้ใช้เป็นเซ็นเซอร์ Sony IMX866 ที่มาพร้อมกับ vivo V1+ ชิปประมวลผลภาพจากวีโว่ แตกต่างกันเพียงแค่รุ่น Pro จะมีเพิ่มเป็นเลนส์ซูม (Periscope) และกันสั่น (Gimbal) รวมถึงระบบชาร์จไร้สาย (Wireless Flashcharge) อีกทั้งยังมีการระบายความร้อนที่ดีกว่า ส่วนใครอยากประหยัดงบเลือกเป็นรุ่น X80 ตัวธรรมดาก็สามารถได้รับการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอชั้นยอดได้เช่นกัน vivo X80 เปิดตัวราคา 29,999 บาท มาพร้อมกับ RAM 12 GB + ROM 256 GB
สเปกและคุณสมบัติ
- ระบบปฏิบัติการ Android 12 (ครอบทับด้วย Funtouch OS 12)
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78″ ความละเอียด Full HD+ ความถี่ 120Hz
- หน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 9000 + vivo Pro Imaging Chip V1+
- แรม 12 GB
- รอม 256 GB (ไม่รองรับ microSD)
- กล้องหลังแบบ 3 เลนส์ ZEISS T* Coating
- กล้องหลัก 50 MP (F/1.49)
- กล้องมุมกว้าง 12 MP (F/1.98)
- กล้องเทเล 12 MP (F/2.0)
- กล้องหน้า 32 MP (F/2.45)
- รองรับสองซิม 5G
- รองรับ Bluetooth 5.3, Wi-Fi 6
- ลำโพงคู่ Dual Stereo Speaker
- แบตเตอรี่ 4,500 mAh (รองรับชาร์จเร็ว 80W FlashCharge)
- ขนาด 164.95 × 75.23 × 8.30 มม.
- น้ำหนัก 206 กรัม
vivo Pro Imaging Chip V1+ คืออะไร ?
อันนี้คงต้องบอกว่าเป็นไฮไลท์สำคัญไม่พูดไม่ได้ เพราะเป็นชิปประมวลผลภาพที่พัฒนาโดยวีโว่เอง สามารถทำงานร่วมกับ MediaTek Dimensity 9000 (vivo X80) และ Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1 (vivo X80 Pro) สามารถถ่ายกลางคืนที่แสงน้อยกว่า 1 Lux ผ่านการประมวลผล SRAM ขนาด 32MB และความเร็วการรับส่งข้อมูล 8GB/s ของชิป ช่วยเพิ่มความสว่างได้สูงถึง 350% จึงทำให้เก็บรายละเอียดได้มากยิ่งขึ้น เคล็ดลับของวิดีโอและภาพนิ่งประสิทธิภาพสูง
ไม่เพียงแค่การถ่ายรูปเท่านั้น แต่ชิปยังช่วยในเรื่องของกราฟิก ที่เด่นชัดเลยก็คือการเล่นเกมยกตัวอย่าง Genshin Impact หนึ่งในเกมที่ใช้สเปกเครื่องอย่างหนักหน่วง และผลทดสอบคือสามารถเปิดเฟรมเรตสูงได้อย่างต่อเนื่องไม่มีตก ส่วนคะแนนทดสอบ AnTuTu ยังได้ผลลัพธ์นี้สูงที่สุดในบรรดาโทรศัพท์ Dimensity 9000 ทั้งหมด ทะลุไปมากกว่าหนึ่งล้านคะแนน
MediaTek Dimensity 9000 หรือ Snapdragon 8 Gen 1 ?
อย่างที่บอกในตอนแรกว่า vivo X80 Series 5G มีให้เลือกทั้ง vivo X80 (รุ่นที่รีวิว) ซึ่งมาพร้อมกับชิป MediaTek Dimensity 9000 และสำหรับ vivo X80 Pro มาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Gen 1 อันนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ตามใจชอบเลย แต่พักหลังต้องบอกว่าทาง MediaTek ก็ได้พัฒนาออกมาค่อนข้างดี ทั้งในเรื่องการจัดการพลังงานและความร้อน ส่วนการใช้งานจริงประสิทธิภาพหรือ Benchmark ก็ไม่ต่างกันมากนัก (แรงพอกันทั้งคู่)
การออกแบบ
ตัวเครื่องมีการออกแบบใหม่หมด มาพร้อมกับสี Cosmic Black และ Urban Blue (ตัวที่รีวิว) เลนส์กล้องเป็นลักษณะวงกลมใหญ่อยู่บนชั้นสี่เหลี่ยมอีกที แตกต่างจากรุ่นอื่นของวีโว่อย่างชัดเจน ด้านหลังวัสดุเป็นแบบด้านประกายเงินไม่ติดรอยนิ้วมือ (Fluorite AG) ส่วนด้านหน้าเป็นกระจกจอโค้ง 3D เพิ่มความหรูหรา
หน้าจอ
อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ด้วยจอโค้ง 3D หากมองจากด้านบนจะแทบไม่รู้สึกถึงขอบเครื่องเลย ส่วนคุณภาพก็มาระดับท๊อปคือหน้าจอ E5 AMOLED ที่ขนาด 6.78″ ด้วยความละเอียด FHD+ ความถี่ 120Hz สามารถเล่นเกมแต่แบบลื่นสายตา และสามารถสู้แสงภายนอกได้เป็นอย่างดีกับความสว่าง 1000 nit ขอบจอเครื่องบางทั้งสี่ด้าน จึงทำให้ได้หน้าจอขนาดใหญ่โดยที่ตัวเครื่องไม่เทอะทะ
ประสิทธิภาพ
ขึ้นชื่อว่าตัวท๊อปก็สามารถเล่นได้ทุกเกมแบบไม่ต้องสงสัย รวมถึงการใช้งานที่ลื่นไหนด้วยหน่วยความจำ UFS 3.1 ขนาดความจุ 256 GB ทำให้ไม่ว่าจะโหลดเกม โหลดหนัง หรือถ่ายรูปเยอะแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวหน่วยความจำเต็ม และนอกจากนี้ยังมีแรม 12 GB ซึ่งถ้าหากไม่พออีกก็สามารถยืมผ่าน Extended RAM 2.0 เพิ่มได้อีก 4 GB การใช้งานตัวชิป MediaTek Dimensity 9000 สามารถดึงเฟรมเรต 120Hz ได้แบบลื่นไหล
นอกจากนี้ยังมีมอเตอร์แกนสั่น X-Axis ช่วยเพิ่มอรรถรส และลำโพงคู่ Dual Stereo Speaker เมื่อทำงานร่วมกันแล้วช่วยเพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมที่ดื่มด่ำ ด้วยการผสมผสานระหว่างการสั่นสะเทือนและเสียงอันทรงพลัง ให้ความสมจริงในขณะเล่นมากยิ่งขึ้น
vivo | ZEISS
จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของวีโว่บน vivo X80 Series 5G ก็คือการพัฒนากล้องร่วมกับ ZEISS แบรนด์ระดับโลกที่ช่างภาพมืออาชีพไว้วางใจ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ ZEISS T* ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะในการเคลือบลดแสงหลอกที่ปะทะหน้าเลนส์ ทำให้ภาพมีความสว่างสดใสมากยิ่งขึ้น โดยจะเห็นผลอย่างชัดเจนเมื่อถ่ายในที่แสงน้อยหรือไฟตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ ZEISS Portrait Style หรือโบเก้อันเป็นเอกลักษณ์ (Biotar, Distagon, Planar, Sonnar) และล่าสุดคือ ZEISS Cinematic เพิ่มเอกลักษณ์การถ่ายภาพให้โดดเด่นและเป็นมืออาชีพ
กล้องหลัง
ถึงแม้ว่า X80 จะมีเพียงสามเลนส์ไม่ใช่สี่เลนส์เหมือนรุ่นใหญ่ X80 Pro แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน และด้วยเซ็นเซอร์ภาพระดับโปร Sony IMX886 + vivo Pro Imaging Chip V1+ เลยสามารถดึงประสิทธิภาพออกมาได้เป็นอย่างดี โดยมีกล้องหลักความละเอียด 50 MP มาพร้อมกับกันสั่นผสานเทคโนโลยีกันสั่น ถ่ายได้นิ่งสนิทแม้จะเป็นภาพถ่ายหรือวิดีโอในที่แสงน้อย
ถึงแม้ว่ากล้องจะเป็นระดับมืออาชีพ แต่การใช้งานมือสมัครเล่นก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด มีหน้าตาการใช้งานที่ค่อนข้างเป็นมิตร ตัวกล่องสามารถเลือกเป็น ZEISS Natural Tone ที่เป็นโทนสีอันเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ หรือจะปรับเป็น AI Portrait แบบที่ไม่ต้องคิดอะไรเองให้กล้องตั้งค่าให้เหมาะกับภาพ (แต่ถ้าอยากปรับละเอียดจะมี Pro Mode ให้ใช้งาน) นอกจากนี้ก็มี Style และ Filter หลากหลายรูปแบบ (รวมทั้งของ ZEISS) ให้เลือกใช้งาน
การถ่ายในอาคารอาจดูธรรมดาไป เราเลยท้าทายด้วยการเอาไปถ่ายตอนกลางคืนในที่แสงน้อย และด้วยกล้องเทเล 12 MP (F/2.0) ก็ยังสามารถถ่ายบุคคลได้ดีไม่แพ้กล้องหลัก 50 MP (F/1.49) เหมาะสำหรับคนที่ชอบฉากหลังละลาย ภาพดูแล้วละมุนเหมือนถ่ายด้วยกล้องใหญ่ แม้ว่าจะมีแสงน้อยขนาดไหนภาพก็ไม่เบลอหรือสั่นไหว งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับกันสั่นในตัวและชิป vivo Pro Imaging Chip V1+ ที่เพิ่มเข้ามา
ถ้ากล้องถ่ายกลางวันรุ่นไหนก็ถ่ายดีได้ไม่ต่างกัน แต่ถ้าจะวัดความพิเศษกันจริง ๆ ต้องลองถ่ายกลางคืน และสำหรับรุ่นนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังคือเก็บรายละเอียดแสงได้ดีมาก ฉากที่มีความสว่างแสงก็ไม่ฟุ้งจนลดรายละเอียดของภาพ สายถ่ายวิวจะยิ่งชอบเข้าไปใหญ่เพราะสามารถปรับ Perspective ไม่ให้ตึกดูผิดสัดส่วนได้ด้วย (คำสั่งนี้อยู่ใน Pro Mode)
กล้องหน้า
ความจัดเต็มของกล้องหน้าวีโว่ยังคงเหมือนเดิม มีการวางกล้องไว้บนหน้าจอทำให้ไม่เสียพื้นที่การใช้งาน และด้วยความละเอียด 32 MP (F/2.45) จึงเพียงพอเหลือเพียงสำหรับการใช้งานทั่วไป มีคุณสมบัติช่วยให้การถ่ายภาพอัดแน่นมาไม่แพ้กล้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ HDR หรือแม้แต่ HD Portrait Auto ที่ช่วยเพิ่มความชัดในการเซลฟี อยากเปลี่ยน Style หรือ Filter ก็มีให้ครบหมด โดยไม่ต้องออกไปแต่งภาพที่แอปฯ อื่นให้เสียเวลา
วิดีโอ
การถ่ายวิดีโอในโหมด ZEISS Cinematic Video ให้สัดส่วนเดียวกับภาพยนตร์ในอัตราส่วน 2.39:1 ทำให้คลิปของเรามีความเป็นหนังมากยิ่งขึ้น ปรับแต่งประสิทธิภาพตามสไตล์ ZEISS ให้อารมณ์ไม่เหมือนกล้องมือถือ และนอกจากนี้ยังมีโหมด Ai Video Enhancement ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแม้จะถ่ายวิดีโอในที่แสงน้อย ภาพก็ยังเก็บครบทุกรายละเอียดและไม่สั่นย
สำหรับคนที่ไม่ได้อยากถ่าย Cinematic แต่อยากเอามาใช้งานทั่วไป อันนี้ก็ไม่ผิดหวังเพราะมีลูกเล่นกล้องอื่นอีกเพียบ และที่เราชอบก็คือการ Auto Focus อันนี้สะดวกมาก ๆ เพราะตัว AI จะแยกระหว่างใบหน้ากับคนเต็มตัวออก ทำให้สามารถติดตามโฟกัสได้ตลอดเวลาแม้ว่าเราจะเดินไปมาก็ตาม เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายวิดีโอที่ตัวแบบไม่อยู่นิ่ง และต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา
2.39:1 คืออะไร ?
หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าวิดีโอในโหมด ZEISS Cinematic Video จะออกมาเป็นสัดส่วนที่เราไม่คุ้นเคยอย่าง 2.39:1 ความจริงแล้วเป็นหนึ่งในสัดส่วนที่วงการภาพยนตร์นิยม เป็นขนาดเดียวกับที่เราเห็นหนังฉายในโรงภาพยนตร์ฉายแบบขยายจอสุด ที่มีชื่อเรียกว่า Scope (จากชื่อเต็มคือระบบ CinemaScope) ซึ่งก็คือสัดส่วน 2.35:1 หรือก็คือ 2.39:1 โดยมันคืออันเดียวกัน แต่ถูกนิยามใหม่ตามยุคสมัยนั่นเอง หรือหากแปลงเป็นตัวเลขสัดส่วนหน้าจอที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด ‘ใกล้เคียง’ กับขนาด 21:9
ข้อดีของการถ่ายแบบ 2.39:1 คือให้มุมมองดูเป็น ‘หนังโรง’ มากกว่าถ่ายด้วยกล้องมือถือทั่วไป และเสริมบทบาทในความอลังการในการโชว์ภาพมุมกว้าง เพื่อให้คนดูได้ตื่นเต้นกับฉากหลังแทนที่จะเน้นพื้นที่ด้านบนกับล่าง รวมถึงการถ่ายในบางฉากยังช่วยเสริมอารมณ์ความอึดอัด ตามแล้วแต่บทบาทของภาพยนตร์เพิ่มเติมได้อีกด้วย และด้วยโบเก้แบบ ZEISS ยังคงสามารถละลายฉากหลังได้อย่างแม่นยำ มีการสร้างแสงแฟลร์ที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะ ทำให้ทุกคลิปที่คุณถ่ายดูเป็นมืออาชีพมากถึงมากที่สุด
ข้อดี
- เลนส์และโบเก้ ZEISS และ ZEISS T* Coating อันเป็นเอกลักษณ์
- ถ่ายวิดีโอแบบมืออาชีพด้วย ZEISS Cinematic Video
- ชิปประมวลผลภาพใหม่ vivo Pro Imaging Chip V1+
- หน้าจอ E5 AMOLED 120Hz คุณภาพสูง
- ชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 9000 แรงและไม่ร้อน
- ดีไซน์หรู บางเบา วัสดุไม่เป็นรอยนิ้วมือ
ข้อเสีย
- ไม่รองรับการใส่ microSD
- ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย
สรุป
จะว่าไปแล้ว vivo X80 มีราคาย่อมเยากว่า vivo X80 Pro ถึงหนึ่งหมื่นบาท แต่การถ่ายวิดีโอบอกเลยว่าทำมาไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ส่วนชิปประมวลผลก็แล้วแต่คนชอบ Mediatek หรือ Snapdragon แต่ส่วนตัวมองว่ามันไม่ได้ต่างอย่างมีนัยยะเท่าไหร่ (แรงทั้งคู่) ลูกเล่นกล้องจัดเต็ม แต่ลูกเล่นวิดีโอจัดเต็มมากกว่า หากใครชอบถ่ายคลิปบอกเลยว่าไม่ผิดหวัง!
- vivo X80 ราคา 29,990 บาท สั่งซื้อผ่านทาง Shopee หรือ vivo Online
- พรีวิวตัวอย่างภาพถ่ายจาก vivo X80
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial