หลังจากเปิดตัวรุ่น V20 Pro ได้สักพักวีโว่ก็เปิดตัว Vivo V20 ที่มีสเปกต่ำลงมาหน่อย แต่ก็ยังมีกล้องหน้า 44 MP และกล้องหลังสามเลนส์ความละเอียด 64 MP พร้อมแบตเตอรี่ 4,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33W และจุดหลักที่ต่างกันเลยคือ ไม่รองรับ 5G และมีชิปประมวลผลที่ด้อยกว่าเล็กน้อย (Snapdragon 720G) แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่ถูกกว่าหลายพันบาท เหมาะกับคนที่มีความชื่นชอบในดีไซน์และกล้องในแบบเดียวกัน แต่มีงบประมาณที่จำกัดหรืออยากได้ราคาที่ถูกกว่า
Vivo V20
Vivo V20 ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 11,999 บาท มีสเปกเกี่ยวกับกล้องและดีไซน์ แบบเดียวกับรุ่น TOP ก่อนหน้าที่เป็น Vivo V20 Pro แต่ความน่าสนใจของรุ่นนี้อยู่ตรงที่ความคุ้มค่า สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายกว่า ในขณะที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกัน ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างไม่ยากนัก โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้มีความสนใจหรือต้องการใช้งาน 5G อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีจุดที่แตกต่าง (และเป็นข้อดี) คือการที่ยังเสียบหูฟัง 3.5 มม. รวมถึงสามารถใส่ได้ทั้งสองซิม และยังเพิ่มการ์ด microSD
บางเท่าเดิมเพิ่มเติมคือยาวขึ้นนิดหน่อย (2.5 มม.) ส่วนความกว้างเท่าเดิมและหนักเพิ่มขึ้น 1 กรัม (หรือจะเรียกว่าหนักเท่าเดิมก็ได้) หน้าจอยังคงเป็น AMOLED ในขนาดเท่าเดิม มีขนาด RAM และ ROM แบบเท่าเดิมอีกเช่นกัน หากจะหาความต่างจริงก็เป็นเรื่องของชิปประมวผลที่ด้อยลงจากเดิมเล็กน้อย แล้วก็กล้องหน้าที่ลดลงเหลือเพียงแค่กล้องเดียว และด้วยความสดใหม่เห็นแบบนี้อัปเดตระบบปฎิบัติการเป็น Android 11 มาให้เลย (V20 Pro มาเป็น Android 10) ไม่ต้องรออัปเดต
สเปกและคุณสมบัติ
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 (ครอบทับด้วย Funtouch OS 11)
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.44″ (ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล)
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 720G (SD720G)
- แรม 8 GB
- รอม 128 GB (รองรับ microSD)
- กล้องหลังแบบ 3 เลนส์ พร้อมไฟแฟลช LED แบบ Dual Tone
- กล้องหลัก 64 MP (F/1.89)
- กล้องถ่ายภาพมุมกว้าง 8 MP (F/2.2)
- กล้องถ่ายขาวดำ 2 MP (F/2.4)
- กล้องหน้า 44 MP (F/2.0)
- รองรับสองซิม (สามารถเพิ่ม microSD แยกต่างหาก)
- ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh รองรับ FlashCharge (33W)
- ขนาด 161.3 x 74.2 x 7.39 มม.
- น้ำหนัก 171 กรัม
การที่มีกล้องหน้าเดี่ยวคือทำให้หน้าจอเต็มตามากยิ่งขึ้น (อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล) และอีกสิ่งที่ Vivo V20 แตกต่างจาก Vivo V20 Pro หากไม่นับเรื่องราคาก็คือการคงไว้ซึ่งหูฟัง 3.5 มม. ทำให้บางคนที่มีหูฟังเก่าสามารถนำมาใช้งานร่วมได้ แล้วก็การที่สามารถเพิ่มเมม microSD ได้อย่างอิสระแถมไม่แชร์ช่องเสียบซิม ก็นับว่าเป็นเรื่องดีอีกอย่างเหมือนกัน แต่ตรงนี้เข้าใจว่าเป็นเรื่องของชิปเซ็ตที่ทางวีโว่มีข้อจำกัด เอาเป็นว่าหากใครต้องการใช้ 5G ก็ต้องเป็น V20 Pro อยู่ดี
ไม่รองรับ 5G แต่สามารถเพิ่ม microSD
4G
หน้าจอยังไม่เห็นความแตกต่างเท่าไหร่ ในสเปกบอกว่าเป็น AMOLED แต่ก็ขอเดาว่าเป็นสเปกจอแบบเดียวกัน (หากต่างก็คือน้อยมากจนแทบไม่รู้สึก) การใช้งานจริงคือสู้แสงได้เป็นอย่างดี แตะแล้วรู้สึกว่ามันติดมือสามารถใช้งานได้แบบไม่หงุดหงิด และถึงแม้จะมีสเปกต่างกันแต่เวลาใช้งานทั่วไป แทบมองไม่เห็นถึงความต่างอะไรเท่าไหร่นัก เท่ากับว่ามันเป็นรุ่นที่เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่ยังคงใช้งาน 4G และไม่ได้สนใจอัปเกรด 5G จะเนื่องด้วยพื้นที่ใช้งาน หรือจะด้วยเหตุผลเรื่องงบประมาณก็ตาม
Dual Tone Step
ตัวกรอบเป็นพลาสติกส่วนด้านหลังเครื่องคาดว่าเป็นกระจกแบบด้าน ทำให้ความรู้สึกหรูหราแต่ก็ยังยากต่อการเกิดรอยนิ้วมือ ตัวเลนส์มีการนูนขึ้นมาเล็กน้อยและไล่เป็นระดับแบบ Dual Tone Step ที่ถูกจัดวางอย่างระเบียบเป็นชั้นบาง ๆ วางเลเยอร์ที่เพิ่มแต่ละขั้นราวอย่างประณีต แต่หากใครไม่ชอบเวลาใส่เคสที่แถมมา ก็จะช่วยให้รู้สึกพอดีมากยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรการนูนของเลนส์ V20 นับว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นที่มีการนูนของเลนส์กล้องค่อนข้างเยอะ ทำให้เครื่องดูหนาเทอะทะ
64 MP
Vivo V20 มาพร้อมกับจุดเด่นเริ่มจากกล้องหลัก 64 MP (F/1.89) โดยจะเป็นพิกเซลหลัก ที่แบ่งสี่พิกเซลเป็นหนึ่งพิกเซล ทำให้ได้ภาพความละเอียด 16 MP นอกจากนี้ด้วยความละเอียดสูง ถ่ายได้ทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่ต้องใช้ Night Mode ยังทำหน้าที่เป็นกล้องเทเลโฟโต้ในระยะสองเท่า (2x) และอีกสองเลนส์ที่เหลือคือเลนส์มุมกว้าง 8 MP (F/2.2) และเลนส์ถ่ายขาวดำ 2MP (F/2.4) ที่เอาไว้วัดระยะความลึกของภาพ ส่วนกล้องก็เหลือเพียงแค่กล้องเดียว 44 MP (F/2.0)
AG Matte Glass
ตัวสมาร์ตโฟนมีความหนาเพียงแค่ 7.39 มม. ใช้งานแล้วดูมีความเป็นวัยรุ่นไม่ดูหนาเทอะทะ ส่วนน้ำหนักก็อยู่เพียงแค่ 171 กรัม พกพาสะดวกเก็บเข้ากระเป๋าสบาย ส่วนขอบจอมาพร้อมกับความโค้ง 2.5D ตามสมัยนิยม ส่วนวัสดุเป็นกระจกผิวด้านด้วยเทคโนโลยี AG Matte Glass เพิ่มความสวยงามหรูหราให้กับตัวเครื่อง มีพื้นผิวที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนและรอยนิ้วมือ มีให้เลือกตั้งแต่สี Midnight Jazz (ตัวที่รีวิว), Moonlight Sonata, Sunset Melody ให้เลือกตามความชอบใจ
AMOLED
หน้าจอ AMOLED แสดงผลได้สว่างและมีสีสันรวมถึงคอนทราสต์ที่ดีงาม ส่งผลให้ตัวสมาร์ตโฟนดูหราหรามากยิ่งขึ้น เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งเพราะสู้แสงได้ดี ขอบจอมีความโค้งเล็กน้อยมากจนแทบไม่รู้สึก (2.5D) และหากเทียบกับ Vivo X50 Pro 5G ก็นับได้ว่า Vivo V20 ยังมีขอบจอที่หนากว่าพอสมควร (แต่ก็ไม่ถึงกับหนามาก เป็นไปตามมาตรฐานสมาร์ตโฟนทั่วไป) ส่วนการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบออปติคอล ถือว่ามีความรวดเร็วและแม่นยำมาก อันนี้ประทับใจอย่างสูง
Android 11
Vivo V20 มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการใหม่ล่าสุด Android 11 ในขณะที่หลายแบรนด์ยังคงเป็น Android 10 ข้อดีก็คือผู้ใช้งานไม่ต้องรอว่าจะได้อัปเดตเมื่อไหร่ แถมยังมีความปลอดภัยมากกว่าและมีคุณสมบัติใหม่หลายประการ เช่น Conversations, Bubbles, Notification History, Nearby Share และ Focus Mode นอกจากนี้วีโว่ยังเพิ่มแอปพลิเคชัน Game Sidebar พร้อมการสั่น 4D, Gallery, FM Radio, iManager, Compass และ Voice Recorder
Eye Autofocus
กล้องหน้ารุ่นนี้จะเป็นกล้องเดี่ยวต่างจาก V20 Pro ที่เป็นกล้องหน้าคู่ โดยจะมีความละเอียดอยู่ที่ 44 MP (F/2.0) พร้อมทั้งคุณสมบัติพิเศษอย่างการโฟกัสดวงตาอัตโนมัติ (Eye Autofocus) ที่ช่วยให้สามารถเซลฟี่ได้อย่างคมชัดมากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันอยากบอกว่ามีสมาร์ตโฟนเพียงแค่ไม่กี่รุ่นเท่านั้น ที่มีความสามารถในการจับโฟกัสที่ดวงตา และหากเป็นกล้องดิจิทัลก็มักจะอยู่ในรุ่นระดับสูงที่มีราคาแพง ส่วนเรื่องการปรับหน้าเรียวปรับหน้าเนียน อันนี้ถือว่าเป็นพื้นฐานของวีโว่อยู่แล้ว
AMOLED
ไม่ใช่แค่กล้องเท่านั้นใน V20 ที่มีประสิทธิภาพสูงเหมาะกับการเซลฟี่ แต่ยังเหมาะกับการรับชมภาพยนตร์และเล่นเกมด้วย ด้วยหน้าจอขนาด 6.44″ เทคโนโลยี AMOLED ความละเอียด FHD+ เพียงพอสำหรับการเล่นเกมทั่วไป (หากเป็น 2K หรือ 4K จะกินสเปกและแบตเตอรี่มากขึ้น) และด้วยความที่มีรอยบากขนาดเล็ก รวมถึงระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ทำให้ได้หน้าจอขนาดใหญ่ในขณะที่ตัวเครื่องไม่ใหญ่จนเกินไป รับชมภาพยนตร์และเล่นเกมได้มีความลึกของสีเพราะเป็น HDR
33W Vivo FlashCharge 2.0
ตัวเครื่องมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh สามารถใช้งานได้ตามค่าเฉลี่ยของสมาร์ตโฟนสมัยใหม่ ด้วยระบบจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพของชิป Qualcomm Snapdragon 765G ทำงานร่วมกับ Funtouch OS 11 และยังมีระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ ช่วยให้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้แบบไม่กินแบต นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับอะแดปเตอร์ชาร์จด่วน FlashCharge 33W อยู่ภายในกล่องไม่ต้องซื้อเพิ่มอีกด้วย
4K Selfie Video
ประเดิมด้วยคุณสมบัติด้านวิดีโอที่เป็นจุดเด่นของ V20 ยกระดับการเซลฟี่ของคุณไม่ให้จำกัดกรอบแต่เพียงแค่รูปถ่าย แต่ยังสามารถถ่ายแบบ 4K Selfie Video สร้างความแปลกใหม่ให้กับรูปโปรไฟล์ใน Social Media ของคุณ ให้ความคมชัดเป็นสี่เท่าของ Full HD สามารถเก็บรายละเอียดได้ไม่ต่างจากภาพถ่าย นอกจากนี้ยังเหมาะกับ Vlog และ YouTuber สามารถสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพสูง ใครที่ชอบตั้งกล้องถ่าย LIVE หรือเล่น TikTok น่าจะเป็นที่พึงพอใจกับความละเอียดนี้
Steadiface Selfie Video
และเพราะวิดีโอที่ดีไม่ได้มีแค่ความละเอียด ระบบกันสั่นที่ดีช่วยให้วิดีโอที่ได้มีคุณภาพสูงขึ้น โดยเฉพาะกับการถ่ายกล้องหน้า Selfie ที่ต้องใช้ Software และ AI ในการช่วยปรับแต่งคุณภาพ V20 มีระบบกันสั่น Steadiface Selfie Video ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยกันสั่นได้ 100% แต่ก็ช่วยให้วิดีโอมีคุณภาพสูงขึ้น ลดการสั่นไหวของวิดีโอเมื่อถือด้วยมือ ช่วยให้คนดูสามารถรับชมคลิปวิดีโอของเราได้ราบลื่น ดูแล้วไม่รู้สึกว่ามันเวียนหัวหรือภาพส่ายจนดูไม่รู้เรื่อง เป็นระบบกันสั่นที่ช่วยได้มาก
Dual View Video
ลูกเล่นอย่างหนึ่งของ V20 เกี่ยวกับวิดีโอสายท่องเที่ยวหรือรีวิว Dual View Video อันนี้สามารถเก็บได้ทั้งภาพจากกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกัน เหมาะกับเวลาเราไปสถานที่ไหนแล้วอยากเก็บบรรยากาศ (แต่ก็อยากได้รูปตัวเองในนั้นด้วย) การถ่ายแบบนี้ไม่ต้องเสียเวลามาตัดต่อให้วุ่นวาย สามารถเลือกมุมกล้องได้ทั้งแบบแบ่งครึ่งตามรีวิว หรือจะเป็นกรอบขนาดเล็กอยู่ในวิดีโอก็ได้ นอกจากนี้สามารถเลือกถ่ายจากกล้องหลังทั้งคู่แต่ต่างเลนส์กัน ทำให้ได้ภาพทั้งระยะกว้างและระยะซูมพร้อมกัน
Slo-mo Selfie Video
หากเบื่อการเซลฟี่แบบธรรมดาทั่วไป เปลี่ยนเป็นวิดีโอแล้วก็ยังไม่พอใจก็ยังมีลูกเล่นกล้อง Slo-mo Selfie Video ที่ถ่ายด้วยความเร็ว 240 FPS ให้ภาพแบบ Slo-motion ที่เหลือก็อยู่ที่จินตนาการของเรา ว่าจะสร้างสรรค์วิดีโอเซลฟี่จุดเจ๋งออกมาแบบไหน อันนี้ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจพอสมควร เพราะหลายรุ่นไม่สามารถทำแบบนี้ได้ เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นในเรื่องของกล้องวิดีโอ (โดยเฉพาะกล้องหน้า) ที่วีโว่จัดเต็มมาให้แบบไม่มีกั๊ก ใส่ให้หมดแบบไม่มีเหลือ คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่จ่าย
Art Portrait Video
เปลี่ยนวิดีโอของคุณไม่ให้น่าเบื่อ ด้วยการถ่ายแบบ Art Portrait Video โดยใช้คุณสมบัติของกล้องถ่ายขาวดำ 2MP (F/2.4) ทำงานร่วมกับ AI ช่วยให้สามารถแยกภาพฉากหน้าออกจากพื้นหลังได้ จากนั้นก็สามารถเปลี่ยนได้ว่าจะเลือกวิดีโอให้เป็นเอฟเฟกต์แบบไหน ที่คิดว่าเจ๋งก็คือการปรับพื้นหลังเป็นสีขาวดำทำให้แบบลอยเด่นขึ้นมา หรือจะปรับพื้นหลังจากเบลอแล้วให้เบลอมากยิ่งขึ้นไปอีก ให้อารมณ์เหมือนถ่ายด้วยกล้องใหญ่และมีเลนส์รูรับแสงกว้าง แบบจะดูนุ่มนวลและเด่นมากขึ้น
Night Selfie ถ่ายกลางคืนก็สวย
Selfie Softlight Band
การถ่ายรูปกลางคืนนอกจากจะมีกล้องหน้าที่รูรับแสงกว้างถึง F/2.0 ยังมีการใช้ AI เข้าร่วมในการประมวลผลภาพถ่าย สามารถดึงแสงออกมาได้ค่อนข้างสว่างแต่ถ้ายังสว่างไม่พอก็มี Selfie Softlight Band ที่เปลี่ยนหน้าจอเป็นแสงแฟลชกล้องหน้า ช่วยให้สามารถถ่ายในที่แสงน้อย (หรือว่าแทบไม่มีแสงเลย) ออกมาได้อย่างสว่างหน้าไม่วอก ดูขาวนวลเป็นธรรมชาติเหมือนกับมี Softlight พกพาติดตัวไปทุกที่ อันนี้เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้เขียนรีวิวชอบมาก และใช้งานมาตลอดในหลายรุ่นของวีโว่
Selfie
กล้องหน้าขอกลับมาพูดถึงอีกครั้งหลังจากถ่ายกลางคืนไป คราวนี้มาถ่ายในสภาวะที่แสงพร้อมจะทำให้ได้ภาพคุณภาพสูงกว่า ด้วยความละเอียด 44 MP สามารถโฟกัสดวงตา (Eye Autofocus) ได้โดยอัตโนมัติทำให้ชัดถึงดวงตา และสามารถโฟกัสระยะได้ใกล้สุดถึง 15 ซม. ไปจนถึงการโฟกัสแบบระยะไกล (คมทั้งภาพ) เหมาะกับการถ่ายเซลฟี่พร้อมวิวด้านหลัง แต่จุดอ่อนก็จะเป็นเรื่องของการที่มีเพียงเลนส์เดียว ไม่มีกล้องหน้าแบบมุมกว้างทำให้มีข้อจำกัด ในเรื่องของการถ่ายเซลฟี่แบบหมู่คณะ
กล้องหลัง Super Wide-Angle ถ่ายภาพมุมกว้าง 120 องศา
Super Wide-Angle
กล้องหลังมุมกว้าง (Super Wide-Angle) ความละเอียดและรูรับแสงจะเหลือ 8 MP (F/2.2) ทำให้มีคุณภาพลดลงจากกล้องหลักเยอะหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ถึงกับคุณภาพแย่เพราะยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ แลกกับมุมกล้องแปลกใหม่ที่กว้างมากกว่าเดิมเยอะขึ้นอยู่ที่ 120 องศา ทำให้มุมภาพที่ได้ไม่ซ้ำกับกล้องทั่วไป นอกจากนี้เลนส์ตัวเดียวกันนี้ยังมีความสามารถ Super Macro ได้ในระยะใกล้สุดถึง 4 ซม. รวมแล้มเป็นเลนส์อเนกประสงค์เสริมขึ้นมา ช่วยในการถ่ายภาพได้สนุกมากยิ่งขึ้น
Main Camera
กล้องหลังความละเอียดสูง 64 MP มาพร้อมเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ เก็บภาพได้สว่างด้วยรูรับแสงที่กว้างถึง F/1.8 สามารถละลายฉากหลังได้เนียนกว่า (หรือจะใช้ AI ช่วยก็ละลายได้มากขึ้น) เหมาทั้งกับการถ่ายภาพในตอนกลางวันก็สวย หรือจะเป็นตอนกลางคืนก็ยังคงความสว่างสดใสโดยไม่ต้องใช้ Night Mode ภายในมีลูกเล่นเล่นกล้องให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสไตล์ที่มีทั้งหมด 9 แบบ สามารถปรับ Beauty Mode เลือกเพศได้ ปรับใบหน้าสวยได้ละเอียดยิว ตั้งแต่ผิวเนียนยันสัดส่วน
หากถ่ายเสร็จแล้วไม่ถูกใจก็ยังสามารถแต่งต่อได้อีก จากที่ผู้เขียนได้รีวิวคือภาพถ่าย 100% คือจบหลังกล้องแบบไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว แต่ตรงนี้ผู้ใช้งานสามารถแต่งภาพต่อได้เพราะวีโว่ก็ได้พัฒนา Software มาเยอะเช่นเดียวกัน ลูกเล่นสุดเจ๋งอย่าง AI Image Matting ที่ช่วยในการตัดต่อภาพแบบง่าย โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเป็นการแยกเลเยอร์คนกับพื้นหลังให้เอง นอกจากนี้ยังมี Memory Recaller ที่จะมาเป็นตัวช่วยเปลี่ยนภาพเก่ามาเป็นภาพที่คมชัดมากยิ่งขึ้น
ข้อดี
- กล้องหน้าหลัก 44 MP โฟกัสได้ถึงดวงตา
- เครื่องสวย วัสดุดี ดีไซน์สุดบาง
- มาพร้อมกับ Android 11
- รองรับหูฟัง 3.5 มม.
- สามารถเพิ่ม microSD
ข้อเสีย
- ไม่รองรับ 5G
สรุป
หากซื้อรุ่น Vivo V20 ยังไงก็คงอดไม่ได้ที่ต้องไปเทียบกับ V20 Pro เพราะอยู่ในซีรี่ย์เดียวกัน และตัดสเปกบางอย่างออก (เล็กน้อย) เพื่อให้ได้ราคา 11,999 บาท และมีส่วนต่างอยู่ที่สามพันบาทถ้วน เหมาะกับคนที่ไม่ได้ต้องการ 5G หรือมีงบประมาณที่จำกัด แต่จะว่าไปการอัปเกรดไปยัง V20 Pro ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะได้หน่อยประมวลผลที่ใหม่กว่า แถมยังเป็นกล้องหน้าคู่อีกด้วย ส่วนจุดเด่นของ V20 ที่เหนือกว่าก็จะเป็นเรื่องหูฟัง 3.5 มม. แล้วก็สามารถอัปเกรด microSD เพิ่มเติม
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial