เปิดตัวตามรูปหลุด Vivo V17 Pro สมาร์ตโฟนกล้อง 6 เลนส์ ความละเอียด 32 + 48 MP ด้วยดีไซน์กล้องหน้าแบบ Pop-up เซลฟี่ด้วยเลนส์คู่รุ่นแรกของโลก ราคา 12,999 บาท จัดเต็มไปด้วยสเปกและฟีเจอร์แบบครบเครื่อง หน้าจอเต็มกรอบแบบไร้รอยบากรบกวนสายตา จะดูหนังหรือถ่ายรูปก็ดีงามไปหมด
Vivo V17 Pro
หลังจากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับ Vivo V15 Pro กับกล้องหน้าป๊อปอัพ (Elevating Front Camera) จึงมีการพัฒนาต่อยอดมาเป็น Vivo V17 Pro ในรุ่นที่สูงขึ้นไปอีก พร้อมกับสเปกใหม่คือ RAM 8 GB + ROM 128 GB ไม่เพียงแค่กล้องดีขึ้น แต่การใช้งานโดยรวมยังเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
สำหรับสีก็มีให้เลือกสองสีคือ Crystal White (ขาวอมฟ้า) และ Knight Black (ครามอมดำ)
สเปก | Vivo V17 Pro
- ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie (ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1)
- หน้าจอ 6.44″ Super AMOLED FHD+
- หน่วยประมวลผล Snapdragon 675 AIE Octa-Core
- แรม 8 GB
- รอม 128 GB (ไม่รองรับ microSD)
- กล้องหลัง 4 เลนส์
- กล้องหลัก 48 MP (f/1.8)
- กล้องมุมกว้าง 8 MP (f/2.2)
- กล้องวัดความลึก 2 MP (f/2.2)
- กล้องมาโคร 2 MP (f/2.4)
- กล้องหน้า 2 เลนส์
- กล้องหลัก 32 MP (f/2.0)
- กล้องมุมกว้าง 8 MP (f/2.2)
- รองรับระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอ
- รองรับ 4G ทั้งสองซิม
- แบตเตอรี่ 4100mAh รองรับ Dual-Engine Fast Charging (18W) ผ่านทาง USB-C
- ขนาด 159 × 74.73 × 9.80 มม.
- น้ำหนัก 201.8 กรัม
อุปกรณ์ | Vivo V17 Pro
- ตัวเครื่อง
- เคสโทรศัพท์ตรงรุ่น
- หูฟัง 3.5 มม.
- หัวชาร์จแบตเตอรี่ 18W
- สายชาร์จ USB > USB-C
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มซิม
- ฟิล์มกันรอย (ติดมาให้เลย)
ด้านล่างของเครื่องจะเป็นช่องสำหรับใส่ซิมแบบนาโน Dual SIM + Dual Standby ข้อเสียก็คือในรุ่นนี้จะไม่สามารถเพิ่ม microSD ได้อีก แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า 128 GB ที่ให้มาก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน ส่วนหัวชาร์จ Vivo เปลี่ยนจาก Micro USB มาเป็น USB-C ตามมาตรฐานนิยม แต่ก็ยังคงไว้ช่องหูฟัง 3.5 มม.
ปุ่มควบคุมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสียงหรือปิด/เปิดเครื่องจะอยู่ด้านขวาแทน ส่วนด้านซ้ายจะเป็นปุ่มสำหรับเรียกใช้งาน ผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi หรือ Google Assistant และยังเริ่มใช้งานคำสั่งอื่นด้วยการกด 2 ครั้ง หรือกดค้าง (มันอยู่อีกฝั่งนึงของตัวเครื่อง ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู) แล้วแต่ผู้ใช้งานจะเลือกตั้งค่าเองได้เลย
ตัวเครื่องถึงแม้ว่าจะให้หน้าจอใหญ่ขนาด 6.44″ ด้วยอัตราส่วนภาพยาวพิเศษ 20:9 แต่เมื่อใช้งานจริงไม่รู้สึกว่าใหญ่จนเกินไป เหตุเพราะขอบจอบางมากจนแทบไม่เหลือพื้นที่เลย ข้อดีคือเราจะได้สมาร์ตโฟนหน้าจอขนาดใหญ่ที่ไม่เกะกะจนเกินไป และหากเทียบกับพื้นที่หน้าจอจะถือว่าแสดงผลได้สูงถึง 91.65% ของขนาด
ด้านหลังตัวเครื่องมีการผสานความหรูหรา และความทันสมัยได้อย่างลงตัว ไม่มีการไล่สีที่ซับซ้อนเหมือนแบรนด์อื่นในตลาด แต่จะกลับสู่ความคลาสสิกของ Knight Black ที่สื่อถึงความเป็นอิสระ Crystal White ที่สื่อถึงความบริสุทธิ์ (ตัวที่รีวิว) ดูมีความแพงและความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า การใช้ไล่สีรุ้งหรือสะท้อนแสง
รุ่นแรกของโลกที่มีกล้องหน้า Pop-up แบบคู่ สามารถเลื่อนขึ้นลงแบบอัตโนมัติ ด้วยโครงสร้างแบบโลหะสามารถใช้งานได้ยาวนาน โดยผ่านการทดสอบทนต่อแรงกด ผ่านการทดสอบมากกว่าหมื่นครั้ง ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง แถมยังฉลาดพอคือเมื่อสมาร์ตโฟนตกหรือหลุดมือ กล้องจะเลื่อนลงเพื่อเก็บเลนส์ปกป้องตัวเอง
โดยรวมแล้วตัวเครื่องมีความน่าสนใจมาก เรียงเลนส์ได้อย่างสมมาตรหลัง 4 เลนส์ และด้านหน้าอีก 2 เลนส์ เป็นงานออกแบบที่คงความหรูหราและก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยี จุดเด่นอย่างการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และกล้องที่เลื่อนขึ้นลงแบบอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้สร้างเอกลักษณ์ให้ดูแตกต่างจากสมาร์ตโฟนราคาประหยัดทั่วไป
การออกแบบ
รุ่นนี้ยังคงความเป็นแฟชั่นในแบบฉบับของ Vivo ซึ่งดูกลุ่มเป้าหมายจะเน้นไปที่สาว ๆ เสียมากกว่า (ผู้ชายก็ใช้ได้) ถือแล้วโดดเด่นไม่อายใคร มีการเลือกใช้เป็นกระจกคุณภาพสูงในด้านหลัง และนั่นก็จะทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็โค้งรับเข้ากับข้อมือเป็นอย่างดี จับแล้วรู้สึกกระชับมือมากยิ่งขึ้น
Super AMOLED + Ultra FullView Display
และไม่เพียงแค่สวยกับตัวเครื่องอย่างเดียว หน้าจอยิ่งดูก็ยิ่งสวยไม่แพ้รุ่น TOP ของแบรนด์อื่น (แต่เราได้ในราคาที่ถูกกว่า) กับหน้าจอ Super AMOLED ที่ให้สีสดใสพร้อมกับความมืดที่ดำสนิท ลืมไปได้เลยกับเรื่องสีเพี้ยนเพราะแสดงสีสันมาตรฐาน DCI-P3 ได้สูงถึง 100% แถมยังสามารถกรองแสงสีฟ้าได้ถึง 42%
หากเทียบกับขนาดหน้าจอ 6.44″ จะเห็นได้ว่ามีอัตราส่วนภาพ 20:9 ออกเน้นไปทางยาว มากกว่ากว้างด้านข้าง ทำให้เครื่องไม่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น และด้วยขอบจอที่บางทำให้มีพื้นที่การแสดงผลสูงถึง 91.65% หน้าจอกระจก 2.5D ให้สัมผัสที่เรียบเนียน แถมยังติดฟิล์มกันรอยมาให้จากโรงงานเลยอีกด้วย
นวัตกรรม
การเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่แต่ละครั้ง เราอาจมองไม่ค่อยเห็นอะไรใหม่ แต่ไม่ใช่กับ Vivo ที่เอาเทคโนโลยีสุดล้ำมาไว้กับสมาร์ตโฟนราคาหมื่นต้น ๆ อย่างเช่นการ “สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ” ที่ยังหาไม่ได้ในหลายรุ่น หรือแม้แต่การเป็นผู้นำครั้งแรกของโลกอย่าง “กล้องหน้าแบบป๊อปอัพคู่” ก็อยู่ในเครื่องนี้เช่นเดียวกัน
จุดอ่อนของกล้องหน้าเดี่ยวก็คือหากเป็นเลนส์ปกติ จะสามารถเซลฟี่ได้แค่คนเดียวหรือสองคน แต่หากเป็นเลนส์มุมกว้างก็จะเซลฟี่ได้เป็นกลุ่ม (รวมถึงได้ฉากหลังด้วย) และสำหรับมุมกว้างจะมีข้อเสียเรื่องสัดส่วนผิดปกติไป แต่สำหรับ Vivo ให้มาทั้งสองเลนส์สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามแต่สถานการณ์ใช้งาน อันนี้ดีมาก
กล้องหน้าว่าเริ่ดแล้วแต่กล้องหลังคือเริ่ดกว่า เพราะจัดเต็มกันมาด้วยทั้งหมด 4 เลนส์ด้วยกัน (8 MP Super Wide-Angle, 48 MP Main, 2 MP Depth, 2 MP Super Macro) ถ้านับสมาร์ตโฟนเป็นกล้องดิจิทัล อันนี้คือมาพร้อมกับเลนส์ครอบจักรวาลที่ถ่ายได้ทุกรูปแบบ มีมุมกว้าง มีละลายหลัง แถมยังมีมาโครให้เล่น
48 MP ปรับซูมขยายตรงไหนก็ชัด
บางคนอาจมองว่าการไม่มีเลนส์ซูมเหมือนกับบางค่าย ทำให้ดูเป็นข้อเสียเปรียบก็จริง แต่ถึงอย่างไรหากเราถ่ายปกติ 48 MP นั่นก็ชัดเพียงพอสำหรับการ Crop หรือ Zoom รายละเอียดของภาพ โดยไม่สูญเสียความละเอียด แถมยังถ่ายเป็น RAW เพื่อเอาไปประมวลผลภาพ ปรับแต่งดึงแสงในภายหลังได้อย่างมืออาชีพ
มือใหม่ก็ใช้งานง่าย
การมีนวัตกรรมอัดแน่นอยู่ในเครื่อง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นการใช้งานขั้นสูงเสมอไป Vivo V17 Pro มีการนำเอา AI มาช่วยผู้ใช้งานตั้งแต่ระบบปฎิบัติการ และเห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้นในการถ่ายภาพ มีการช่วยแนะนำจัดองค์ประกอบภาพให้ สามารถปรับแต่งความขาวความสวยได้หมดทุกสัดส่วน ลดขนาดสัดส่วนอะไรได้หมด
สวยไม่พอต้องเร็วด้วย
หน่วยประมวลผลเครื่องมาพร้อมกับ Qualcomm Snapdragon 675 AIE ในระดับปานกลาง แต่ให้ประสิทธิภาพสูงสามารถเล่นเกมได้แบบเครื่องไม่ร้อน นอกจากนี้ยังมี RAM 8 GB ให้มาแบบไม่มีกั๊ก ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่รองรับ microSD เองก็ตาม แต่ตัวเครื่องก็ให้ ROM 128 GB เป็นหน่วยความจำแบบ UFS 2.1
ตัวเครื่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 9 (ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1) ลื่นไหลแรงแบบไม่ต้องลุ้น การใช้งานรวมถึงคำสั่งเข้าถึงได้ง่าย แถมยังมีผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi อำนวยความสะดวกให้ในตอนใช้งาน หากต้องการแบ่งหน้าจอหรือโคลนแอปพลิเคชัน อะไรพวกนี้สามารถทำได้หมด แถมยังทำได้ดีเสียด้วย
ไม่เพียงแค่หน่วยประมวลผลที่ไม่กินไฟ หน้าจอที่ประหยัดพลังงานดีเยี่ยม แต่ก็ยังจัดเต็มมาให้ด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4100mAh (TYP) และยังมีระบบชาร์จเร็วอย่าง Dual-Engine Fast Charging เพิ่มความเร็วในการชาร์จเพิ่มมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบป้องกันความปลอดภัยแบตเตอรี่ที่ปลอดภัยรวมถึง 9 ชั้นด้วยกัน
การใช้งาน Funtouch OS 9.1 มีความเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน แต่ที่ยังคงอยู่คือความเข้าใจง่ายของ UI ที่เน้นการใส่สัญลักษณ์ประกอบในการสื่อความหมาย และถึงแม้สัญลักษณ์จะเป็นสี่เหลี่ยม แต่ก็มีการเลือกใช้ขอบมนให้ดูไม่แข็งกระด้างจนเกินไป ส่วนคุณสมบัติพื้นฐานของ Android 9 Pie ยังคงครบถ้วน
การตั้งค่ามีให้เลือกใช้งานหลากหลาย ชนิดที่ว่ารีวิวกันทั้งวันก็ยังคงไม่หมด แต่ส่วนที่ผมชอบก็จะเป็นพวกคำสั่งพื้นฐานทั่วไป อย่างเช่นการนำทางที่สามารถตั้งค่าปัดจากขอบจอได้ การจับภาพหน้าจอด้วยสามนิ้ว การจับภาพหน้าจอแบบพิเศษ หรือแม้จะเป็นการแบ่งหน้าจอ การโคลนแอปพลิเคชัน ง่ายและสามารถใช้งานได้จริง
โหมดอัลตราเกมอันนี้อีกหนึ่งโหมดที่อยากแนะนำ สำหรับคนเล่นเกมเป็นอะไรที่สุดยอดมาก สามารถเพิ่มเกมที่ต้องการตั้งค่า (หรือจะเป็นแอปพลิเคชันก็ได้) โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม รวมถึงอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่นการบล็อคการแจ้งเตือน หรือแม้จะเป็นการโทรในแบบเบื้องหลัง ไม่รบกวนระหว่างเล่นเกม
กล้องถ่ายรูปจะเน้นสามหมวดด้วยกันเริ่มตั้งแต่ “มุมกว้างพิเศษ” วิธีใช้งานก็ตามชื่อเลย คือจะเป็นการเปิดกล้องมุมกว้าง ถัดมาก็คือ “มัว” ซึ่งจะเป็นการใช้กล้องวัดความลึก (Depth) ทำให้ปรับเบลอหลังได้เนียนยิ่งขึ้น และสุดท้ายก็คือ “Super Macro” เพื่อใช้ในการถ่ายวัตถุขนาดเล็ก โดยกล้องปกติทั่วไปจะไม่ถ่ายได้
ทดสอบจากกล้องหลัง 4 เลนส์ จากภาพด้านบนจะเห็นได้ว่าเลนส์แต่ละตัวก็มีคุณสมบัติเฉพาะตัว และความละเอียดก็มากพอสำหรับการ Crop เพื่อดูรายละเอียดเล็ก ๆ ในภาพโดยที่ยังคมชัดอยู่ ส่วนภาพออกมาจาก AI Quad Camera ก็ช่วยในการประมวลภาพให้ออกมาสวยงาม และมีรายละเอียดที่มากยิ่งขึ้น
ประสบการณ์ใช้งานสมาร์ตโฟนโดยรวมน่าประทับใจ ไม่เพียงแค่ในเรื่องของดีไซน์ที่หรูหรา และสเปกที่ให้มาพร้อมกับประสบการณ์ใช้งานที่เกินคาดหมาย ปรับแต่งระบบปฎิบัติการมาเป็นอย่างดี คงความลื่นไหลในทุกการใช้งานทั้งในตัวระบบและแอปพลิเคชัน กล้องหลังทั้ง 4 เลนส์ต่างมีคุณภาพดีมาก ใช้ถ่ายรูปจริงจังได้ตลอดวัน
เรื่องของ AI ก็ถือว่าพัฒนาไปมากเช่นกัน ปรับแต่งภาพถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ 100% แต่ก็ช่วยประหยัดเวลาอย่างมากโดยเฉพาะตอนรีบ ๆ ยกตัวอย่างเช่น AI มีการระบุฉากว่าเป็นซีนประเภทอะไร จากนั้นจึงค่อยปรับแต่งค่าของกล้องเบื้องต้นให้เหมาะสมกับภาพประเภทนั้น ผู้ใช้งานไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่กดชัตเตอร์ก็พอ
ภาพจากกล้องหลัง
กล้องหลังทั้ง 4 เลนส์ สามารถถ่ายรูปได้เป็นอย่างดีทุกช่วงระยะ รองรับ HDR และ AI ที่แสนฉลาด เพียงแค่เครื่องเดียวถ่ายได้ทุกระยะอย่างน่าทึ่ง ถ่ายโบโก้ละลายได้อย่างสมจริง มีโหมดกลางคืน Night Mode เพื่อถ่ายกลางคืน และยังมี Macro Mode เลื่อนเข้าใกล้วัตถุได้สูงสุด 4 ซม. เหมาะถ่ายเครื่องประดับและดอกไม้
ภาพกล้องหน้า
กล้องหน้าทั้ง 2 เลนส์ ถูกเก็บซ่อนไว้ในรูปแบบป๊อปอัพ (Elevating Front Camera) เป็นตัวแรกของโลกหากนับในรูปแบบเลนส์คู่ มีไฟแฟลช LED พร้อมให้อยู่ตรงกลาง ผู้ใช้งานสามารถเลือกถ่ายเซลฟี่ได้ทั้งระยะปกติและ Ultrawide เพื่อให้สามารถเก็บภาพบุคคล และวิวด้านหลังได้กว้างมากกว่า เก็บได้ทั้งคนและวิว
ข้อดี
- กล้องหลัง 4 เลนส์ พร้อมระบบ AI
- กล้องหน้า 2 เลนส์ ในรูปแบบป๊อปอัพ
- หน้าจอ Ultra FullView Display ชนิดจอ Super AMOLED
- สแกนนิ้วบนหน้าจอ
- มีเคสในตัว ติดฟิล์มมาจากโรงงาน
- หน้าจอใหญ่ 6.44 นิ้ว
- รองรับชาร์จเร็ว 18W
ข้อเสีย
- ยังใช้พอร์ต Micro USB
- เพิ่มหน่วยความจำ microSD ไม่ได้
สรุป
สมาร์ตโฟนระดับกลางที่มีความสามารถเยอะ ใช้งานได้แบบลงตัวและมีกล้องเป็นจุดเด่นรวมแล้วถึง 6 เลนส์ด้วยกัน (4 + 2 เลนส์) ใช้ถ่ายรูปสวย ๆ ได้หลากหลายสถานการณ์ แถมกล้องหน้ายังไม่บดบังหน้าจอ แสดงผลได้อย่างเต็มตา เหมาะกับคนที่ชอบดูหนังหรือเล่นเกม มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และชาร์จเร็ว 18W ผ่านทาง USB-C แตกต่างจากหลายรุ่นของ Vivo ที่ยังเลือกใช้ Micro USB รุ่นเก่าที่ชาร์จช้าอยู่
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial