เมื่อไม่นาน Apple ได้เปิดตัว AirTag เอาไว้สำหรับค้นหาสิ่งของ โดยสำหรับทาง Samsung เองก็มี SmartTag เช่นเดียวกัน แถมยังมีราคาถูกกว่ากัน 100 บาท โดยหลักการทางเทคนิคอาจมีแตกต่างกันเล็กน้อย แต่การใช้งานวัตถุประสงค์โดยรวมไม่แตกต่างกันมาก ซึ่งนั่นก็คือการค้นหาสิ่งของที่ผูกติดกับแท็กด้วยเทคโนโลยี Bluetooth นั่นเอง

Samsung SmartTag

ความพิเศษของ Samsung SmartTag (หากเรียกให้ถูกก็คือ “Galaxy SmartTag”) นอกจากเอาไว้ค้นหาสิ่งของที่มันผูกไว้ด้วย ก็คือการใช้เป็นรีโมทสำหรับควบคุมอุปกรณ์ IoT ทั้งหลายของแอปพลิเคชัน SmartThings ของทาง Samsung นั่นเอง เรียกได้ว่าซื้อเพียงแค่อันเดียว แต่ก็ได้ถึงสองระบบเลยทีเดียว

SmartTag เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กมาพร้อมกับรูสำหรับร้อยห่วง (AirTag ไม่มีให้นะ … บอกไว้ก่อน) การใช้งานไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่เพราะใช้ถ่านกระดุม CR2032 หาซื้อได้ตาม 7-Eleven ส่วนอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 280 วัน นอกจากนี้ก็ยังมีคุณสมบัติกันน้ำ IP53 โดยรวมก็ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงนัก

วิธีใช้งานก็ง่ายมากโดยเฉพาะหากคุณใช้ Samsung Galaxy ที่เป็น Android 8.0 เป็นต้นไปโดยมันจะมาพร้อมกับ SmartThings เวอร์ชันล่าสุดอยู่แล้ว แต่ถ้าหากใช้เป็น Android รุ่นอื่นก็ไปดาวน์โหลดแยกได้เช่นกัน (iOS ก็มีแต่ไม่แน่ใจว่าใช้ได้มั้ย) เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้วก็ทำการ Pair เชื่อมต่อเข้ากับมือถือของเรา

การตั้งค่าครั้งแรกก็เพียงแค่จัดประเภท SmartTag ของเราว่าชิ้นไหนเป็นอะไร กรณีที่มีอุปกรณ์หลายชิ้นจะได้ง่ายต่อการจัดระเบียบ ทั้งนี้ไม่ได้มีผลอะไรเป็นพิเศษ และการตั้งค่าสามารถเปลี่ยนแปลงในภายหลังได้ นอกจากนี้ก็สามารถตั้งค่าเสียงของ SmartTag ได้ด้วยเผื่อบางทีเราหาตำแหน่งไม่เจอก็สามารถให้มันส่งเสียงมา

การใช้งานก็เหมือนพวงกุญแจปกติเลย เราสามารถเอามาห้อยเพื่อกันลืมสิ่งนั้น ๆ ตัวอย่างการใช้งานพื้นฐานสุดก็คือ “กุญแจ” หรือจะเป็นกระเป๋าเดินทาง, จักรยาน, รถ (อันนี้เผื่อจอดแล้วหาไม่เจอ), รีโมท, สัตว์เลี้ยง โดยระยะทำการของ Bluetooth อยู่ที่ประมาณ 120 เมตร (กรณีเป็นที่โล่ง) แต่ถ้าในอาคารก็จะลดลงมาหน่อย

หลักการใช้งานก็คล้ายกับ Find My Phone เพียงแต่เปลี่ยนจากมือถือมาเป็น SmartTag โดยหากมันหลุดระยะทำการ 120 เมตร ก็จะเป็นการแสดงตำแหน่งสุดท้ายที่เราเคยเจอแทน ส่วนอนาคตสามารถใช้ร่วมกับ Galaxy Find Network เพื่อให้มือถือคนอื่นช่วยค้นหาอุปกรณ์ของเราได้อีกด้วย สะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีก

ตัวอย่างการใช้งานจะแตกต่างจาก AirTag ตรงที่ไม่มีชิป U1 อัลตร้าไวด์แบนด์เลยไม่สามารถแสดง “ตำแหน่งที่ตั้งจริง” ว่าไปทางซ้ายหรือขวา แต่จะเป็นการบอกผ่านทางความเข้มขนของสัญญาณ อย่างการีวิวในภาพคือวางไว้ในกระเป๋าข้างหน้าประมาณ 10 เมตร หากเราเข้าใกล้สัญญาณจะแรงขึ้นแล้วก็มีเสียงดังช่วยอีกแรง

นอกจากนี้ก็ยังสามารถตั้งค่าสลับกันคือให้ SmartTag ค้นหามือถือของเราได้ด้วย ซึ่งน่าจะได้ใช้บ่อยกว่าคุณสมบัติหลักของมันอีก (ฮา) โดยการกดที่ SmartTag จำนวนสองครั้งมือถือของเราก็จะดังขึ้น หรือจะตั้งใช้งานร่วมกับ IoT ได้ทั้งหมดสองคำสั่งคือ “กดหนึ่งครั้ง” และ “กดค้าง” ส่วนจะตั้งเป็นอะไรก็ค่อยว่ากันอีกที

ข้อดี

  1. ค้นหาอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย
  2. ใช้อุปกรณ์ค้นหามือถือได้อีกที
  3. ใช้ควบคุมอุปกรณ์ IoT ในบ้านได้
  4. เปลี่ยนถ่านเองได้ง่ายดาย

ข้อเสีย

  1. ระยะทำการที่จำกัด
  2. ไม่สามารถบอกทิศทางได้

สรุป

Samsung Galaxy SmartTag เรียกว่าเป็นพวงกูญแจราคาแพงก็ได้ สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง แต่บางครั้งอุปกรณ์ที่เราติดมันก็ไม่ค่อยหาย (ส่วนอุปกรณ์ที่หายก็ดันไม่ได้ติด – -*) หากเทียบกับคู่แข่ง AirTag เหมือนจะเสียเปรียบเรื่องโครงข่ายของอุปกรณ์ผู้ใช้งาน ที่ทางฝั่งนั้นมีผู้ใช้งานเยอะและช่วยค้นหาได้ง่ายมากกว่า สำหรับ SmartTag ยังมีข้อดีคือเชื่อมต่อ IoT และสามารถกดเพื่อใช้ค้นหามือถือของเราได้ด้วย อันนี้ต่างหากที่ช่วยได้เยอะ … ส่วนราคาไม่กี่ร้อยก็ตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก