เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย เป็นของใช้ประจำบ้านแห่งปี 2021 ไปเรียบร้อยแล้ว Roborock H7 ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยราคาที่จับต้องได้ แต่คุณภาพยังอยู่ในระดับพรีเมียม ให้พลังดูดสูงถึง 160 AW สามารถใช้งานได้ยาวนาน 90 นาที อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบาเพียง 1.46 กก. หน้าตาดูดีสวยหรูเป็นมิตรกับบ้านยุคใหม่

Roborock H7

สำหรับ Roborock H7 เป็นหนึ่งในเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่ทรงพลังที่สุด 160 AW (ประมาณ 27,000 Pa) สามารถให้แรงดูดที่ต่อเนื่องได้แม้ฝุ่นจะเต็มกล่อง หรือว่าจะมีแบตเตอรี่เหลือเพียงเล็กน้อยก็ตาม ด้วยพลังมอเตอร์ 420W แต่มีการสูญเสียพลังงานน้อย ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 90 นาที

ในส่วนของ ราคา Roborock H7 ลดเหลือ 19,900 บาท (ราคาปกติ 39,900 บาท) หรือหากใครอยากได้เป็นชุด Roborock H7 + Charging Stand ก็เหลือเพียง 20,900 บาท (ราคาปกติ 43,800 บาท) มาพร้อมกับการ รับประกันยาวนานถึง 3 ปี ตั้งแต่ในส่วนของแบตเตอรี่ไปจนถึงมอเตอร์

อุปกรณ์ในกล่อง

  • เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย (Vacuum)
  • หัวดูดและมอเตอร์แปรงปัดสำหรับทุกพื้นผิว (Multi-Surface Floor Brush)
  • หัวดูดและมอเตอร์แปรงปัดความเร็วสูง (Motorized Mini-Brush)
  • หัวดูดแบบมีขนแปรง (Dusting Brush)
  • หัวดูดเล็กแบบแข็ง (Crevice Tool)
  • ข้อต่อเฟดอ่อน (Flex Tube)
  • ท่อต่อแบบยาว (Baton)
  • ฟิลเตอร์กรองฝุ่นด้านหน้า (Front Dust Filter)
  • ฟิลเตอร์กรองฝุ่นไซโคลนด้านหลัง (Rear Dust Filter)
  • กล่องเก็บฝุ่นขนาด 500 มล. (Dust Bin)
  • ชุดใส่กับถุงเก็บฝุ่น (Dust Bag Holder)
  • ถุงเก็บฝุ่นสองชิ้น (Dust Bag)
  • หัวชาร์จแบบชาร์จเร็ว (Quick Recharging Support)
  • ชุดแขวนเครื่องดูดฝุ่นและอุปกรณ์ (Dock)
  • คู่มือการใช้งานภาษาอังกฤษ (Manual)

อุปกรณ์ภายในมาพร้อมกับหัวแปรงที่ให้เลือกใช้งานหลากหลาย มีทุกอย่างให้พร้อมครบชนิดไม่ต้องซื้ออะไรอีกแล้ว ยกเว้นเพียงแค่ขาตั้ง (Charging Stand) ถ้าหากคุณไม่ต้องการวางกับพื้นหรือเจาะผนัง ส่วนการรับประกัน 3 ปี ผู้รีวิวมองว่าทาง Roborock Thailand ค่อนข้างใจถึงมากเลยทีเดียวครับ

Charging Stand

หากเทียบราคาอุปกรณ์เดียวกับชุดรวมขาตั้ง ส่วนต่างอยู่ที่ 1,000 บาท ตรงนี้จะซื้อหรือไม่ก็แล้วแต่ผู้ใช้งาน หากคุณต้องการเอาไปเจาะฝังผนัง (ซึ่งก็สวยและเป็นระเบียบดี) ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่ม แต่หากคุณไม่อยากเจาะผนังก็วางเป็นขาตั้ง อันนี้ก็ยังให้ความเรียบร้อยไปอีกแบบ เพราะตัวเครื่องมันสวยเหมาะแก่การโชว์

หากคุณซื้อขาตั้งซึ่งเป็นเหล็กก็สามารถแปะหัวแปรงดูดได้ด้วย เนื่องจากเขาได้ฝังแม่เหล็กเอาไว้ (MagBase™) อันนี้เป็นแนวคิดที่เจ๋งดี ช่วยให้การจัดเก็บและสลับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย หรือใครจะเอาไปแปะไว้ตามตู้เย็นหรือวัสดุโลหะอื่น เพื่อให้สามารถหยิบจับได้ง่ายอันนี้ก็แล้วแต่การประยุกต์ใช้งานจริง

MagBase™ ใช้งานสะดวกมาก หยิบก็ง่ายเก็บก็ง่าย

แท่นชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% เพียงแค่ 2.5 ชั่วโมง มีหน้าจอแสดงแบตเตอรี่ให้เห็น ส่วนอายุการใช้งาน 400 รอบ (ก่อนที่แบตเตอรี่จะเก็บประจุได้เพียง 80%) บางคนอาจตกใจว่ามันน้อย แต่อย่าลืมว่ามันใช้งานได้ 90 นาที และทำความสะอาดบ้านจริงเต็มที่ก็ 30 นาที หากใช้ทุกวันก็เท่ากับว่าอายุการใช้งานอยู่ที่ 3 ปีเป็นอย่างน้อย สอดคล้องกับระยะเวลารับประกัน

เครื่องดูดฝุ่นไร้สายน้ำหนักเบา

บอกลาการทำความสะอาดแบบเดิมที่มีน้ำหนักเยอะ ขนาดใหญ่เทอะทะ เพราะว่าทาง Roborock H7 ออกแบบมาให้มีน้ำหนักเพียง 1.46 กก. (ประมาณโน้ตบุ๊คเครื่องนึง) สามารถถือใช้งานมือเดียวได้อย่างสบาย ดีไซน์ทำออกมาให้สามารถ “อวดเครื่องดูดฝุ่นในห้องรับแขกได้แบบไม่อายใคร” หรูหราดีมาก

ด้านล่างเป็นช่องเปิดทิ้งฝุ่น ตรงนี้มีลูกเล่นให้สามารถใช้งานร่วมกับถุงเก็บฝุ่นได้ ลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นเมื่อทิ้งขยะ เหมาะกับคนที่อยู่คอนโดที่ไม่อยากให้ฝุ่นฟุ้งกระจายในห้อง แต่ส่วนตัวผู้รีวิวไม่ชอบใช้ เพราะชอบที่จะเห็นฝุ่นแบบชัด ๆ ด้านในมากกว่า อีกทั้งเวลาเทฝุ่นมันก็ไม่ได้ฟุ้งกระจายมากนัก หากเราใช้ความระมัดระวัง

ส่วนเรื่องการถอดเช็ดล้างทำความสะอาด ก็สามารถแยกชิ้นส่วนออกมาล้างได้หมดเลย ไม่ต้องกลัวว่าแบตเตอรี่หรือวงจรจะช็อต (เพราะว่าถอดออกมาแล้ว) แล้วก็มีปุ่มล็อคดูดค้างได้เผื่อขี้เกียจกดตลอดเวลา หรือจะเอาไว้เวลาต่อท่ออ่อนเพื่อดูดตามซอก จะได้ไม่ต้องคอยกดสองมือสองไม้ให้ยุ่งยาก อันนี้ก็ชอบเป็นพิเศษ

หน้าจอ OLED ขนาดเล็กมีไว้แสดงผลแบตเตอรี่และโหมดการใช้งาน แบ่งออกเป็น ECO, Standard และ Auto Carpet Boost ที่ใช้เพิ่มแรงดูดสำหรับพื้นพรม ส่วนการควบคุมก็มีเพียงแค่ปุ่มเดียว เพียงแค่กดทีเดียวหรือกดค้างเพื่อเปลี่ยนโหมด ช่วงแรกอาจจะงงสักเล็กน้อย แต่ถ้าใช้งานไปสักพักก็จะเริ่มชินเอง

Multi-Surface Floor Brush

หัวดูดและมอเตอร์แปรงปัดสำหรับทุกพื้นผิว (Multi-Surface Floor Brush) หนึ่งในหัวดูดที่เราใช้งานบ่อยมากที่สุด มาพร้อมกับมอเตอร์ในตัวหมุน 4,000 รอบ/นาที สามารถใช้งานได้กับพื้นทุกรูปแบบรวมถึงพรม สามารถดึงเส้นผมหรือขนสัตว์ได้เป็นอย่างดี ใช้งานร่วมกับท่อต่อแบบยาว (Baton)

เรื่องแรงดูดอันนี้คือประทับใจมาก ไม่จำเป็นต้องเปิดโหมด Max (ที่ใช้งานได้เพียง 8 นาที) ก็สามารถทำความสะอาดฝุ่นได้ทุกพื้นผิว เวลาใช้งานจริงให้เสียงที่เงียบ คือเงียบในระดับเครื่องดูดฝุ่น (ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเสียงเลย) คนยังสามารถพูดคุยกันได้ยินอยู่แบบไม่ต้องตะโกนคุยกัน และฝุ่นในห้องไม่ฟุ้งกระจาย

Crevice Tool

หัวดูดเล็กแบบแข็ง (Crevice Tool) เหมาะกับดูดตามซอกต่าง ๆ หรือจะเอามาต่อร่วมกับท่อต่อแบบยาว (Baton) แบบดังภาพก็ได้เช่นกัน ส่วนวิธีเปลี่ยนก็ง่ายมากเพียงกดปุ่มข้อต่อสีแดง เพียงเท่านี้เราก็สามารถเสียบและถอดได้อย่างง่ายดาย ส่วนแรงดูดก็แล้วแต่โหมดการใช้งานที่เราตั้งค่าไว้ที่เครื่อง

หัวดูดมีขนาดเล็กสามารถเข้าตามซอกได้อย่างง่ายดาย หรือถ้าใครไม่หมุนเครื่องตามองศา ก็สามารถกดดูดแบบล็อคค้างไว้ จากนั้นต่อร่วมกับข้อต่อเฟดอ่อน (Flex Tube) เพื่อที่จะสามารถหมุนใช้งานได้ตามสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่นการเอาไปดูดในรถยนต์ คงไม่ค่อยถนัดในการหมุนองศาขยับเครื่องไปมา

Motorized Mini-Brush

หัวดูดและมอเตอร์แปรงปัดความเร็วสูง (Motorized Mini-Brush) อีกหนึ่งพระเอกที่ขาดไม่ได้ หัวนี้เหมาะสำหรับการใช้ดูดโซฟาหรือเฟอร์นิเจอร์ มีแปรงปัดขนาดเล็กเหมาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานบนผ้า เมื่อแนบกันแล้วมันจะสนิทให้แรงดูดสูงกว่าปกติ จึงทำให้ดูดเศษสกปรกออกจากโซฟาหรือที่นอนได้อย่างง่ายดาย

Dusting Brush

หัวดูดแบบมีขนแปรง (Dusting Brush) หัวดูดขนาดเล็กที่มีขนแปรงในตัว เอาไว้ปัดเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป สามารถใช้งานได้หลากหลายรวมถึงซอกขนาดเล็ก หลักการคือปัดให้ฝุ่นหลุดออกจากพื้นผิว และอาศัยแรงดูดจากเครื่องดูดฝุ่นเก็บฝุ่นเข้าไปอีกที ลองนึกภาพตามว่าเอาไว้ใช้แทนพวกไม้ปัดขนไก่อะไรงี้

ทดสอบใช้งานจริงทั้งกับแป้งและเศษกระดาษขนาดเล็ก (ที่ยากต่อการดูดและกวาด) ผลคือสามารถทำความสะอาดได้อย่างดี ผ่านการดูดด้วยโหมดมาตรฐานเพียงครั้งเดียว และลมที่ออกมาจากเครื่องก็สะอาด เพราะมีเทคโนโลยีการกรองฝุ่นที่ดีที่สุดถึง (Filtration) 5 ชั้น การกรองสิ่งสกปรกและสารก่อภูมิแพ้ที่มาจาก ฝุ่น ละอองเกสร ระดับการกรองแบบ HEPA ซึ่งกรองได้ละเอียดถึง 0.3 ไมครอน สูงสุด 99.99%

ตัวกล่องเก็บฝุ่นมีขนาดใหญ่ 500 มล. ก็เพียงพอสำหรับทำความสะอาดประมาณ 2-3 ครั้ง (กรณีบ้านไม่สกปรกมาก) และเมื่อเทฝุ่นก็สามารถกดได้จากปุ่มด้านบน ทำให้มือไม่เลอะฝุ่นที่เราดูดเก็บเอาไว้ หรือหากใครไม่ชอบให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย ก็สามารถใช้ร่วมกับถุงเก็บฝุ่นในตัว (Dust Bag Support) ได้เช่นกัน

ฟิลเตอร์และส่วนประกอบทั้งหมด สามารถถอดล้างเพื่อทำความสะอาดได้ง่าย หมดปัญหาเรื่องคราบสกปรก เพียงแต่ที่ระวังคือต้องรอปล่อยให้มันแห้งจริง ๆ เสียก่อน ไม่งั้นประสิทธิภาพการทำความสะอาดจะลดลง ส่วนเรื่องอะไหล่อะไรพวกนี้ หากใครต้องการซื้อฟิลเตอร์เพิ่มเติม เขาก็มีบริการหลังการขายให้ครับ

หุ่นยนต์ดูดฝุ่นกับเครื่องดูดฝุ่นไร้สายเลือกอะไรดี ?

คำถามยอดฮิตจากเพจ iReview.in.th ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสองอย่างนี้ “คล้ายกันและมีข้อจำกัดต่างกัน” หากคุณชอบสะดวกและบ้านโล่ง หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ก็จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ (เฉพาะพื้น) แต่หากคุณต้องการทำความสะอาดทุกอย่างยันเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย คือคำตอบการใช้งานที่ยืดหยุ่นกว่าเยอะ หรือถ้ามีงบประมาณเหลือก็มีทั้งคู่

ข้อดี

  1. วัสดุและงานประกอบคุณภาพดี
  2. ดีไซน์สวยวางเป็นเฟอร์นิเจอร์โชว์ได้
  3. แรงดูดมหาศาล แต่ให้เสียงที่เงียบ
  4. ถอดฟิลเตอร์และประกอบข้อต่อง่าย
  5. มีหน้าจอแสดงผลข้อมูลพร้อมแจ้งปัญหา
  6. หัวต่อ (MagBase™) ใช้งานจริงสะดวกมาก

ข้อแนะนำ

  1. การควบคุมผ่านปุ่มเดียว ช่วงแรกปรับตัวลำบาก ใช้บ่อย ๆ ก็ชินไปเอง รู้สึกสะดวกดี ใช้งานได้ไม่ยุ่งยาก
  2. ราคาเต็มค่อนข้างสูง แต่เทียบกับคุณภาพแล้วถือว่าคุ้มค่า
  3. แนะนำให้ซื้อช่วงโปรโมชัน และซื้อคู่กับขาตั้งด้วย เพราะซื้อคู่ราคาคุ้มกว่ามาก

สรุป

ส่วนตัวใช้งานจริงแล้วประทับใจมาก ราคาค่อนข้างสูงแต่เป็นการจ่ายแล้วจบไม่ค้างคา อุปกรณ์เสริมอย่างขาตั้งราคาถูกมาก (แนะนำให้ซื้อ) แบตเตอรี่เอาเข้าจริงแล้วใช้งานได้นานพอสมควร ส่วนเรื่องหัวต่อ (MagBase™) อันนี้สะดวกจริงแปะทิ้งไว้ตามตู้เย็นได้เลย ไม่ต้องหาที่แขวนหรือเก็บให้ยุ่งยาก หากคุณต้องการเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่ดี (ย้ำ! ว่าที่ดี) เราขอแนะนำให้ซื้อ Roborock H7 เอามาใช้งานครับ

ราคาโปรโมชันพิเศษ : Roborock H7 ลดเหลือ 19,900 บาท (ราคาปกติ 39,900 บาท) หรือ Roborock H7 + Charging Stand ก็เหลือเพียง 20,900 บาท (ราคาปกติ 43,800 บาท)

ช่องทางติดต่อและช่องทางจัดจำหน่าย (สอบถามเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่) :

หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial