สำหรับใครกำลังมองหามือถือราคาสามพันกว่าบาท Redmi 9C เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจ ภายใต้ร่มของ Mi มั่นใจว่าทำ ROM ออกมาได้ดีกว่าทุกค่ายแน่นอน และด้วยชื่อเสียงของ Xiaomi เองที่ใครต่อใครต่างก็ยกนิ้วให้ในเรื่องความคุ้มค่า สมกับเป็นแบรนด์จีนยุคใหม่ที่ถูกและดีมีอยู่จริง และด้วยราคาเปิดตัวเพียง 3,099 บาท จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด หรือซื้อให้ลูกหลานเพื่อใช้งานไปโรงเรียน
Redmi 9C
ด้วยช่วงราคาที่ห่างกันเพียงเล็กน้อยกับ Redmi 9A จนทำให้คนสงสัยว่ามันต่างกันอย่างไร ความจริงก็คือมันแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ยกเว้นการเพิ่มกล้องมาโครและกล้องละลายหลัง, เพิ่มสแกนลายนิ้วมือ, ปรับหน่วยประมวลผลใหม่เป็น Mediatek Helio G35 (จากเดิม Mediatek Helio G25) นอกนั้นเหมือนกันเป๊ะแบบหาความต่างกันไม่ได้เลย แต่ถึงอย่างไรก็ดีราคาของ Redmi 9C ก็ราคาแพงกว่าเพียงแค่ 300 บาท !!!
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- สมาร์ตโฟน Redmi 9C
- อะแดปเตอร์ 10W
- สายชาร์จ Micro USB
Redmi 9C กับ Redmi 9A ต่างกันอย่างไร ?
- ระบบปฏิบัติการ Android 10 (ครอบทับด้วย MIUI 12)
- หน้าจอ IPS ขนาด 6.56″ (ความละเอียด 1600 x 720 พิกเซล)
- หน่วยประมวลผล Mediatek Helio G35 // Mediatek Helio G25
- แรม 2 / 3 GB
- รอม 32 / 64 GB (รองรับ microSD แบบไม่แชร์ช่องใส่ซิม)
- กล้องหลังแบบ 3 เลนส์ พร้อมไฟแฟลช LED
- กล้องหลัก 13 MP
- กล้องมาโคร 2 MP // ไม่มีใน Redmi 9A
- กล้องชัดตื้น 2 MP // ไม่มีใน Redmi 9A
- กล้องหน้า 5 MP
- รองรับสองซิม 4G ทั้งสองซิม
- สแกนลายนิ้วมือด้านหลังตัวเครื่อง // ไม่มีใน Redmi 9A
- ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต Micro USB
- แบตเตอรี่ 5,000 mAh
- ขนาด 164.9 x 77 x 9 มม.
- น้ำหนัก 196 กรัม
ในส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ จะเห็นได้ว่า Redmi 9C และ Redmi 9A แทบจะถอดแบบกันมาหมดเลย หากใครจะซื้อรุ่นไหนก็อยู่ที่งบประมาณ เพราะมันต่างกันเพียงแค่นิดเดียว แต่หากเลือกตัดสินใจซื้อ Redmi 9C ด้วยความที่มันมีชิปสดใหม่กว่าและมีกล้องที่เยอะกว่า ก็จะมีเรื่องให้คิดอีกรอบคือจะเลือกซื้อรุ่น 2 GB / 32 GB หรือ 3 GB / 64 GB โดยทั้งสองรุ่นก็จะมีราคาต่างกันเพียงแค่ 300 บาท !!!
ภายในกล่องตัวเครื่องไม่ได้แถมฟิล์มหรือเคสและหูฟังมาให้ เพื่อให้สามารถทำราคาเครื่องได้ถูกที่สุด แต่ที่ผมประทับใจก็คืออย่างน้อยก็ยังมี อะแดปเตอร์ 10W ที่ช่วยให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000 mAh ด้วยระยะเวลาอันสั้น ส่วนการชาร์จยังน่าเสียดายที่เป็นพอร์ตแบบเก่า Micro USB (แต่บางคนก็ชอบเพราะใช้กับอุปกรณ์เก่าได้) ส่วนเรื่องตัวเครื่อง และงานประกอบอะไรก็ค่อนข้างเรียบร้อยดีครับ
ช่องใส่ซิมสามารถเพิ่ม microSD แบบไม่ต้องแชร์ช่องใส่ซิม
กล้องที่เพิ่มเข้ามา Mi เรียกมันว่า AI Camera ความหมายก็ตรงตัวเลยคือมีระบบปัญญาประดิษฐ์เสริมเข้ามา แล้วก็มีกล้องสำหรับละลายฉากหลัง (ชัดตื้น) เพื่อให้สามารถถ่ายภาพบุคคลออกมาได้สวยขึ้น แล้วก็มีอีกเลนส์แถมมาก็คือมาโครในการถ่ายวัตถุขนาดเล็ก ส่วนสแกนลายนิ้วมืออยู่บริเวณด้านหลังเครื่อง ตำแหน่งเดียวกับนิ้วชี้ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างไม่ลำบากนัก หรือใครจะสะดวกใช้สแกนใบหน้า 2D ก็สามารถทำได้
ด้านหน้าจอเป็นแบบขอบบางถึงแม้ว่าจะไม่บางเหมือนเครื่องหลักหมื่นบาท แต่ก็สามารถทำออกมาได้สวยงามเมื่อเทียบกับราคาสามพันกว่าบาท กล้องด้านหน้าอยู่ตรงกลางมีรอยบากขนาดกำลังดี ความละเอียด 5MP กำลังพอดีสำหรับใช้งานลง Social Media สามารถปรับหน้าเนียนได้ประมาณหนึ่ง และถึงแม้ว่าจะมีแค่กล้องเดียว แต่ก็สามารถละลายหลังได้ด้วยความสามารถของ AI ได้อย่างนุ่มเนียนละมุนเลยทีเดียว
ความกังวลอย่างหนึ่งของสเปกในรุ่นสมาร์ตโฟนราคาถูก ก็คือเรื่องของสเปกว่าหน่วยประมวลผลจะทำงานไหวมั้ย ใช้งานไปสักพักจะรู้สึกค้างช้าหรือหน่วงมั้ย แต่ในส่วนนี้ด้วยความสามารถของ MIUI 12 สามารถรีดประสิทธิภาพของ Mediatek Helio G35 ออกมาได้เป็นอย่างดี และสามารถเคลียร์ RAM และ ROM กำจัดขยะออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ
หนึ่งในความชอบส่วนตัวของรุ่นนี้ คือออกแบบมาได้ขนาดใหญ่เหมาะมือกำลังดีมาก จับแล้วรู้สึกกระชับเต็มไม้เต็มมือ แต่หากเป็นมือผู้หญิงอาจดูใหญ่ไปสักหน่อย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน หลังเครื่องเป็นพลาสติกแต่เป็นแบบด้าน จับแล้วเครื่องไม่ลื่นหลุดมือ และไม่เป็นรอยนิ้วมือง่ายทำให้ไม่ต้องสวมเคสก็สามารถใช้งานได้ถนัด ไม่จำเป็นต้องดูแลเหมือนกระจก
เวลาใช้งานจริงก็จะดูใหญ่ไปนิดหน่อย 6.56″ แต่ถึงแม้ว่ามีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5,000 mAh แต่ก็ไม่ได้หนักอย่างที่คิดเพราะน้ำหนักอยู่เพียง 196 กรัม และด้วยราคาเครื่องที่ไม่ได้สูงอะไรมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักด้วยการสวมเคสอีก (ไม่ต้องดูแลรักษาอะไรมาก) และด้วยการออกแบบของ Xiaomi มีการใช้พลาสติกเป็นองค์ประกอบหลัก จึงน้ำหนักเบากว่ากระจก
ในช่วงราคาประมาณสามพันบาท โดยทั่วไปเราจะเห็นสมาร์ตโฟนเพียงแค่ 1 เลนส์ หรืออย่างมากสุดก็ 2 เลนส์ แต่ในครั้งนี้ได้มาจัดเต็มถึง 3 เลนส์ เทียบเท่าสมาร์ตโฟนระดับห้าพันบาทได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยความละเอียด 13 MP เพียงพอสำหรับการใช้งานถ่ายรูปทั่วไป และไฟล์ที่ได้ก็มีขนาดกำลังคล่องตัวไม่หนักเครื่อง ส่วนอีกเลนส์จะเป็น 2 MP เอาไว้ถ่ายมาโครเล็ก ๆ น้อย ๆ
ในยุคที่กล้องไม่ได้วัดกันที่ความละเอียดและขนาดเซ็นเซอร์เพียงอย่างดี ถึงแม้ว่าต่างรุ่นจะมีกล้องที่เหมือนกันทุกประการ ความแตกต่างก็คือ AI Camera ที่จะมาช่วยให้ภาพถ่ายมีคุณภาพสูงขึ้น ลองจินตนาการถึงภาพที่ผ่านการปรับแต่งและไม่ปรับแต่งดู ถึงแม้ว่าะเป็นไฟล์เดียวกันภาพเดียวกัน แต่ความสวยงามที่ได้ก็แตกต่างกัน ตรงนี้เองที่ทำให้ Redmi 9C ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง
MIUI 12 มาในรูปแบบที่คุ้นเคยใช้งานกว่า Android หลายรุ่น การวางเมนูเรียบง่ายไม่ซับซ้อน คนที่เคยใช้ iOS ก็สามารถปรับตัวได้อย่างไม่ยากนัก ทั้งนี้คำสั่งการใช้งานมีการปรับแต่งมากกว่า Pure Android 10 ทำให้มีลูกเล่นค่อนข้างเยอะกว่าปกติ แต่ด้วยข้อจำกัดของหน่วยประมวลผล ทำให้ไม่สามารถโคลนแอปพลิเคชันหรือแบ่งหน้าจอได้เหมือน Redmi รุ่นอื่น
หน้าจอที่เป็น DotDrop ทำให้สามารถรับชมภาพยนตร์ได้เต็มตามากกว่า ส่วนความละเอียดที่ได้เป็น HD+ ก็ถือว่าสมราคาสมเหตุสมผล อัตราส่วนกำลังดีอยู่ที่ 20:9 ให้ความสว่างหน้าจอ 400 nit ตามมาตรฐานสมาร์ตโฟนทั่วไป แล้วก็ด้วยปริมาณแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh โดยสามารถเล่นเพลงได้นาน 137 ชั่วโมง, โทรศัพท์ได้นาน 32 ชั่วโมง, วิดีโอคอลได้นาน 21 ชั่วโมง
การเล่นเกมเป็นชิป Mediatek Helio G35 รองรับเทคโนโลยี HyperEngine ที่ช่วยให้เล่นเกมได้ยิ่งขึ้น สามารถเล่นได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง โดยที่เครื่องไม่ร้อนระหว่างเล่นเกม สามารถเล่นเกม RoV ได้อย่างลื่นไหลโดยที่ปรับสุดทุกอย่าง (แต่อาจมีบางจังหวะหน่วงนิดหน่อย) ส่วนถ้าเป็นเกมยอดฮิตอย่าง PUBG MOBILE ก็ควรปรับเป็นความละเอียดต่ำเพราะกินสเปกมากกว่า
การใช้งานโดยรวมค่อนข้างลื่นไหล จะมีหน่วงบ้างหากเปิดแอปพลิเคชัน หรือการทำงานที่มีความซ้ำซ้อนกันเยอะ ๆ ซึ่งแก้ได้ด้วยการเคลียร์ RAM (หรือซื้อรุ่น RAM 3 GB) แบตเตอรี่โดยรวมน่าประทับใจในความอึด หากใช้งานทั่วไปไม่ได้เล่นเกมอาจอยู่ได้ถึงสองวันโดยไม่ต้องชาร์จ นอกจากนี้ตัวเครื่อง Redmi 9C ยังได้เลือกใช้เซลล์แบตเตอรี่คุณภาพสูงใช้ได้ถึง 1,000 รอบ
ข้อดี
- กล้องสามเลนส์ AI Camera
- หน้าจอขนาดใหญ่ 6.53″
- แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh
- คุ้มค่า! ราคาประหยัด
ข้อเสีย
- ไม่แถมหูฟังมาให้
- ไม่รองรับ Wi-Fi 5 GHz
- พอร์ตเป็น Micro USB
สรุป
แค่นี้ก็เกินคุ้มแล้วสำหรับ Redmi 9C ด้วยราคาเพียงแค่ 2 GB + 32 GB ราคา 3,099 บาท หรือ 3 GB + 64 GB ราคา 3,399 บาท (แนะนำอันหลังคุ้มกว่าเยอะ) แต่ได้มือถือหน้าจอใหญ่เต็มตา 6.53″ พร้อมกับกล้องสามเลนส์ที่เป็น AI Camera อีกทั้งยังมีแบตเตอรี่ 5,000 mAh ใช้งานกันได้ยาว ๆ ทั้งวันแบบไม่ต้องกังวลหาที่ชาร์จแบต เหมาะกับคนที่มีงบประมาณจำกัดหรือหามือถือสักเครื่องให้ลูกหลาน รับรองว่ารุ่นนี้ถูกใจแน่นอนครับ!
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial