ถึงแม้จะเป็นปี 2018 แต่ผมเองพึ่งมีโอกาสได้รีวิว Microsoft Surface Pro (2017) ใช้งานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว กับอุปกรณ์ลูกครึ่ง Tablet และ Laptop ที่ดีที่สุดในตลาด ณ ตอนนี้ โดยหากนับรุ่นกันตรง ๆ แล้วก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ 5 และมีความเปลี่ยนแปลงจาก Surface Pro 4 ไปไม่เยอะเท่าไหร่นัก

Microsoft Surface Pro (2017)
Microsoft Surface Pro (2017)

Microsoft Surface Pro (2017)

ก่อนอื่นเลยขอใส่เครื่องหมาย * ในเรื่องของราคาเอาไว้ก่อน เพราะตอนเปิดตัวเป็นอะไรที่แพงอลังการและไม่น่าซื้อมาก ตอนนี้มีการปรับราคาลงไปเยอะโดย Microsoft Thailand ทำให้มันน่าซื้อมากขึ้นกว่าเดิม และเท่าที่ผมเคยเห็นใน Lazada ตอนลดราคา รุ่น i5/4GB/128GB พร้อมคีย์บอร์ดเหลือไม่ถึงสามหมื่น (ไม่แถมปากกา)

  • Core m3 SSD ขนาด 128GB, RAM ขนาด 4GB, Intel HD Graphics 615
  • Core i5 SSD ขนาด 128GB, RAM ขนาด 4GB, Intel HD Graphics 620
  • Core i5 SSD ขนาด 256GB, RAM ขนาด 8GB, Intel HD Graphics 620
  • Core i7 SSD ขนาด 256GB, RAM ขนาด 8GB, Intel Iris Plus Graphics 640
  • Core i7 SSD ขนาด 512GB, RAM ขนาด 16GB, Intel Iris Plus Graphics 640
  • Core i7 SSD ขนาด 1TB, RAM ขนาด 16GB, Intel Iris Plus Graphics 640

สำหรับสเปคของ m3 ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่เพราะค่อนข้างช้า (มาก) ส่วนรุ่นที่กำลังดีก็จะเป็นรุ่นที่ไฮไลท์สีแดง เหมาะกับการใช้งานจริงมากที่สุด (และไม่แพงจนเกินไป) แต่หากใครใช้ไม่เยอะหรืองบน้อย อาจหนีไปเล่นรุ่นไฮไลท์สีน้ำเงินก็ได้ครับ งบประมาณ 3-4 หมื่นรวมคีย์บอร์ดกำลังดี ส่วนปากกากับเมาส์ต้องซื้อแยกต่างหาก

ไร้เสียงรบกวน

สาเหตุที่แนะนำ Core i5 Gen 7 (Kaby Lake) เนื่องจากประสิทธิภาพไม่แย่จนเกินใช้งาน แถมยังกินไฟต่ำและไม่จำเป็นต้องมีพัดลมในการใช้งาน ตามที่ทาง Microsoft โฆษณาไว้ก็คือแบตเตอรี่อยู่ได้ 13.5 ชั่วโมง ก็สามารถทำได้จริงตามที่คุยเอาไว้ สามารถหยิบเครื่องออกจากบ้านโดยไม่ต้องพกที่ชาร์จ ลดภาระด้านน้ำหนักลงไปได้อีก

สิ่งที่แตกต่างจาก Surface Pro 4 รุ่นก่อน

  1. เปลี่ยนหน่วยประมวลผล Intel Gen 6 (Skylake) มาเป็น Gen 7 (Kaby Lake)
    1. ประสิทธิภาพมากขึ้น (เล็กน้อย)
    2. กินไฟน้อยลงมาก แบตเตอรี่อึดกว่า 50%
    3. ไม่ต้องใช้พัดลม (ยกเว้น Core i7)
  2. เปิดตัวอุปกรณ์เสริมใหม่ (ขายแยกต่างหาก)
    1. คีย์บอร์ดวัสดุใหม่เป็นผ้าแบบ Alcantara
    2. ปากกาใหม่ Surface Pen รองรับแรงกด 4096 ระดับ
  3. ขาตั้งกางเพิ่มขึ้นได้เป็น 165 องศา

ส่วนเรื่องขนาดก็พอกับของเก่า ต่างกันเล็กน้อยระดับมิลลิเมตร รวมถึงรุ่น Core i5 ที่เอาพัดลมออกแล้วเบากว่าเดิม แต่เบากว่าน้อยมากจนไม่ต้องพูดถึงก็ได้ พวกพอร์ตยังเหมือนเดิม 100% ข้อดีก็ยังคงเป็นพวก USB ขนาดเต็มอัตราส่วน รองรับการใส่ microSD ส่วนข้อเสียก็คือไม่มี USB-C รุ่นใหม่ใส่มาให้ ทำให้ต้องใช้ที่ชาร์จของมันเท่านั้น

หน้าจอที่แยกออกมาเป็น Tablet แต่ส่วนตัวไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ เนื่องจาก Windows 10 ไม่ค่อยเหมาะกับการใช้งานในโหมดนี้เท่าไหร่นัก เพราะขาดคีย์บอร์ดไปนี่แทบจะจบเลยทีเดียว แต่ก็มีประโยชน์เวลานำเสนองานให้ลูกค้าดู ยื่นไปแต่จอก็สะดวกดีครับ หากจะหวังการใช้งานแบบไม่พึ่งคีย์บอร์ดเลยเหมือนกับ iPad อันนี้คงต้องลืมไปก่อน

ขาตั้งสามารถพับได้ค่อนข้างเยอะ เหมาะกับคนทำงานสายกราฟิกที่ชอบวาดรูป และวัสดุที่จับดูก็แข็งแรงดีมากครับ ส่วนวัสดุใหม่ของคีย์บอร์ด Type Cover เป็นแบบผ้า Alcantara ให้ความรู้สึกแข็งแรงทนทาน เหนียวเป็นพิเศษรวมถึงสัมผัสแล้วให้อารมณ์ที่ดีเยี่ยม ต่างจากวัสดุที่เป็นยางหรือพลาสติกทั่วไป … ส่วนราคาอยู่ที่ 6,390 บาท

หน้าจอเป็นระบบสัมผัสดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ใน Laptop ระบบสัมผัส Pixel Sense ขนาดหน้าจอ 12.3″ ความละเอียด 2736 x 1824 พิกเซล (267 PPI) พร้อมกับกล้องระบบ Windows Hello สแกนใบหน้าก่อนเข้าใช้งาน (ปลอดภัยสูงและสแกนเร็วมาก) ความละเอียดกล้องหน้า 5MP ส่วนกล้องหลัง 8MP รองรับ Full HD ทั้งคู่

ปากกาสามารถใช้ได้ทั้งกับรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ แต่หากอยากได้แรงกดที่ละเอียดบวกกับความลื่น จำเป็นต้องซื้อรุ่นใหม่เพื่อความสมบูรณ์แบบ และเท่าที่ใช้งานดูก็สามารถวาดได้อย่างลื่น แทบไม่ต่างจากเวลาเราใช้ Wacom รวมถึงระบบสัมผัสที่ Microsoft Surface Pro (2017) ทำออกมาก็มีความสมบูรณ์แบบ อารมณ์แทบไม่ต่างจากสไลด์ iPad

ข้อดี

  1. เงียบ ไม่ร้อน ไม่มีเสียงพัดลม (เฉพาะรุ่น Core m3/i5)
  2. วัสดุดีเลิศ แข็งแรง ทนทาน
  3. มีพอร์ต USB ขนาดเต็มและรองรับ microSD
  4. ปากกาใช้งานกราฟิกได้จริง มีความแม่นยำสูง
  5. แบตเตอรี่ยาวนาน 13.5 ชั่วโมง

ข้อเสีย

  1. ไม่รองรับ USB-C
  2. ต้องใช้ที่ชาร์จของตัวมันเองเท่านั้น
  3. อุปกรณ์เสริมไม่แถม (เว้นแต่มีโปรโมชั่น) และมีราคาแพง

สรุป

รีวิวนี้อาจสั้นไปนิดนึง เนื่องจากอุปกรณ์เปิดตัวมาจะครบปีแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็มีข้อดีตรงที่ราคาลงไปเยอะมาก จากเดิมที่แพงเกินเอื้อมตอนนี้เหลือเป็นราคาสมเหตุสมผล ส่วนหนึ่งที่ราคาแพงก็ไม่ต้องสงสัยเลย จากวัสดุที่ทาง Microsoft ให้มารวมถึงสเปครายละเอียดยิบย่อยอย่าง Windows Hello หรือ Pixel Sense ส่งผลให้ Microsoft Surface Pro (2017) เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ ณ เวลานี้

ขอขอบคุณ Microsoft Thailand ที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ส่งมาให้รีวิว