เครื่องดูดฝุ่นที่ดูเหมือนจะไม่ซับซ้อนอะไร Dyson นอกจากจะมีเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่ดีที่สุด ล่าสุดยังได้พัฒนาไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัว Dyson V12 Detect Slim ที่มาพร้อมกับระบบตรวจจับฝุ่นด้วยเลเซอร์รุ่นแรกของโลก และยังเป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายน้ำหนักเบาที่ทรงพลังที่สุดของ Dyson อีกด้วย แบบนี้ต้องลองสักหน่อย!

Dyson V12 Detect Slim

สำหรับ Dyson V12 Detect Slim จะแบ่งออกเป็นรุ่นย่อยคือ Dyson V12 Detect Slim Fluffy, Dyson V12 Detect Slim Total Clean, Dyson V12 Detect Slim Absolute Extra ทั้งหมดนี้จะเหมือนกันต่างกันเพียงแค่จำนวนหัวดูดทำความสะอาด (และราคา) ส่วนรุ่นที่เราจะนำมารีวิวในวันนี้เป็นรุ่นกลางอย่าง Dyson V12 Detect Slim Total Clean ที่มีราคาอยู่ที่ 25,900 บาท

อุปกรณ์ภายในกล่อง

  • Dyson V12 Detect Slim Total Clean
  • หัวดูดพื้น Slim Fluffy™ แบบเลเซอร์
  • หัวดูดพื้น Direct Drive
  • หัวดูด Hair Screw
  • หัวดูด Combi
  • หัวดูดปากแคบแบบมีไฟ
  • หัวดูดแบบแปรงขนนุ่ม
  • หัวดูดฝุ่นฝังลึก
  • ข้อต่อสำหรับดูดใต้เตียง
  • คลิปติดท่อเพื่อหนีบหัวดูด
  • แท่นยึดติดผนัง
  • สายชาร์จ
  • แท่นยึดตั้งพื้น

อย่างที่บอกคือแต่ละรุ่งจะได้อุปกรณ์มากน้อยไม่เท่ากัน อย่างรุ่นเล็กสุด Dyson V12 Detect Slim Fluffy จะได้แค่ 1 หัวดูดทำความสะอาด 5 อุปกรณ์เสริม แต่ถ้าเป็นรุ่น Dyson V12 Detect Slim Total Clean (ตัวที่รีวิว) จะได้ 2 หัวดูดทำความสะอาด 6 อุปกรณ์เสริม ที่เพิ่มมาจะเป็น หัวดูดพื้น Direct Drive + หัวดูดฝุ่นฝังลึก ส่วนรุ่น Dyson V12 Detect Slim Absolute Extra ได้แบตเตอรี่เสริมเพิ่มมา

หัวดูดพื้น Slim Fluffy™ แบบเลเซอร์

เริ่มจากหัวดูดแรกก่อน อันนี้เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Dyson ซึ่งจะมีมาใน Dyson V12 Detect Slim ทุกรุ่น หัวดูดพื้น Slim Fluffy™ แบบเลเซอร์ ออกแบบมาสำหรับพื้นแข็งโดยเฉพาะ สำหรับบ้านคนไทยส่วนใหญ่ก็จะหนีไม่พ้นกระเบื้อง ลามิเนต หรือพื้นไม้ก็สามารถใช้หัวนี้ดูดได้เลย ข้อดีก็คือเห็นฝุ่นที่พื้นระหว่างใช้ไปด้วย

หัวดูดพื้น Direct Drive

อันนี้เป็นหัวดูดที่รุ่นถูกสุดจะไม่มีมาให้ ดูแล้วเบื้องต้นจะคล้ายกับหัวดูดพื้น Slim Fluffy™ แบบเลเซอร์ แต่สำหรับ หัวดูดพื้น Direct Drive จะต่างกันตรงที่ไม่มีเลเซอร์ (ฮา) ความจริงคือมันสามารถใช้ได้กับพื้นทุกประเภท ครอบคลุมมากกว่าด้วยขนแปรงไนลอนแบบแข็ง กำจัดสิ่งสกปรกที่ฝังแน่นทั้งในพรมได้ดีมากกว่า

หัวดูด Hair Screw

แถบแปรงทรงกรวยใน หัวดูด Hair Screw ช่วยม้วนเส้นผมให้แน่น และดันไปยันส่วนปลายของแปรง เสริมแรงดูดได้ดีมากกว่า และไม่ทำให้เส้นผมพันกันภายในหัวดูด เหมาะกับคนที่ผมร่วงมากอันนี้ชอบเป็นการส่วนตัว แล้วก็สำหรับคนที่เลี้ยงสุนัขหรือแมวขนยาว อันนี้ช่วยดูดทำความสะอาดได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องกลัวเส้นผมพันกัน

หัวดูด Combi

สองหัวในหนึ่งเดียวกับ หัวดูด Combi สามารถเลือกที่จะใช้แปรงไนลอนหรือไม่ใช้แปรงก็ได้ (จะได้ไม่ต้องสลับสับเปลี่ยนไปมา) ใช้ทำความสะอาดได้อย่างอเนกประสงค์มากที่สุด (ยกเว้นดูดพื้น) เหมาะกับการทำความสะอาดสิ่งของใช้ทั่วไปในบ้าน เช่นการปัดทำความสะอาดกับส่วนต่าง ๆ ของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน

หัวดูดปากแคบแบบมีไฟ

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ Dyson เลือกที่จะใส่ไฟ LED มาเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น หัวดูดปากแคบแบบมีไฟ ความจริงก็เป็นแค่ท่อตรงธรรมดา แต่พอมันมีไฟแล้วให้ความสะดวกขึ้นอีกมากมาย (จนทำให้คิดว่าทำไมถึงพึ่งมี) ช่วยดูดตามซอกขนาดเล็กได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แถมซอกเหล่านั้นโดยมากจะเป็นที่แสงสว่างส่องไม่ถึงด้วย

หัวดูดแบบแปรงขนนุ่ม

การใช้งานโดยปกติของ หัวดูดแบบแปรงขนนุ่ม จะเน้นทำความสะอาดกับพื้นที่ขนาดใหญ่ (ตามหัวแปรงของมัน) ออกแบบมาเพื่อช่วยในการปัดฝุ่นโดยใช้เครื่องดูดฝุ่น ด้วยขนแปรงแบบอ่อนปัดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้จากพื้นผิวที่บอบบาง ใช้กับพวกมูลี่หรือช่องแอร์ได้เป็นอย่างดี แต่หัวนี้ยอมรับว่าส่วนตัวยังไม่ค่อยมีโอกาสใช้เท่าไหร่

หัวดูดฝุ่นฝังลึก

ถ้าหากต้องการดูดฝุ่นแบบฝังแน่นเฉพาะ หัวดูดฝุ่นฝังลึก ตัวนี้ตอบโจทย์เรื่องความแข็งของหัวแปรง สามารถทำความสะอาดได้เฉพาะจุด เหมาะกับพื้นผิวที่มีความแข็ง และต้องการทำความสะอาดแบบเน้นย้ำ โดยอาจเป็นสิ่งของที่เราไม่ได้ต้องการความถนอมมาก เปลี่ยนหัวแปรงนี้มาดูดและปัดเฉพาะจุดได้เลย แปรงนี้แข็งสุดแล้ว

ก็หมดแล้วไปแล้วสำหรับหัวดูดทั้งหมด ความจริงแล้วมันจะมีเรื่องของ ข้อต่อสำหรับดูดใต้เตียง เพิ่มเข้ามาด้วยเพื่อให้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น หรือจะเป็นพวก คลิปติดท่อเพื่อหนีบหัวดูด อันนี้ก็เอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการพกหัวแปรง วัสดุและงานประกอบโดยรวมทำออกมาได้ดีน่าประทับใจครับ

เครื่องดูดฝุ่นไร้สายน้ำหนักเบาที่ทรงพลังที่สุดของ Dyson

ให้แรงดูดคงที่ยาวนานสูงสุด 60 นาที ต่างจากรุ่นอื่นในท้องตลาดที่เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด แรงดูดจะตกลงตามกำลังของแบตเตอรี่ ขับเคลื่อนด้วยพลังของมอเตอร์ Dyson Hyperdymium มอเตอร์น้ำหนักเบาให้รอบความเร็ว 125,000 รอบต่อนาที และไซโคลน 11 ตัวสร้างแรงหนีศูนย์กลางที่มีกำลังแรงถึง 100,000g

ตัวนี้สามารถถอดแบตเตอรี่แยกอิสระได้ ทำให้ง่ายต่อการทำความสะอาดโดยไม่ต้องกังวลว่าจะช็อต หากคุณซื้อรุ่นแพงสุดก็จะได้แบตเตอรี่เสริมเพิ่มเติม (หรือจะซื้อแยกทีหลังก็ได้) ส่วนตัวมองว่าน่าสนใจแต่ยังไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ เนื่องจากตัวเครื่องมันก็ใช้งานได้ยาวนาน 60 นาที แต่ถ้าใครอยากทำความสะอาดแบบต่อเนื่องก็จัดไป

เทฝุ่นทิ้งโดยไม่ต้องสัมผัส ระบบเทฝุ่นที่ถูกสุขลักษณะจะดันฝุ่นและสิ่งสกปรก ลงไปในถังขยะได้ทันทีในขั้นตอนเดียว ส่วนตัวใช้งานแล้วก็ไม่ได้ยากอะไรเท่าไหร่ แต่ด้วยองศาและวิธีการถืออาจลำบากกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย (แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไหร่) สำหรับรุ่นนี้ก็ถอดล้างทำความสะอาดก็ยังง่ายเหมือนเดิม แกะออกได้ทุกชิ้นส่วน

เมื่อมีดูดฝุ่นก็ต้องมีปล่อยลมออกมา และอากาศนั้นจำเป็นต้องสะอาดเพราะมันเข้าตัวเรา Dyson เลยออกแบบตัวกรอง 5 ขั้นตอน เริ่มจากถังเก็บฝุ่นมาด้วยตัวกรองตาข่ายขนาดเล็ก 7,298 รู หลังจากนั้นจะใช้ไซโคลนกำจัดฝุ่นออกจากกระแสลมผ่านตัวกรองไฟฟ้าสถิต และสุดท้ายคือ PTEF ความยาว 1.6 เมตร ที่พับซ้อนกัน 112 ทบ ดักจับอนุภาคขนาดเล็กสุด 0.3 ไมครอน ได้มีประสิทธิภาพถึง 99.99% ทำให้มั่นใจได้ว่าอากาศที่ออกมา จะเป็นอากาศที่สะอาดจริง ๆ และไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้

รีวิวทดสอบใช้งานจริง

ไม่ใช่แค่เลเซอร์ที่เพิ่มเข้ามาเท่าไหร่ แต่ทาง Dyson ยังมีเซนเซอร์เพียโซคอยนับจำนวนฝุ่นที่ดูดได้ แบ่งกันตามขนาดของอนุภาคต่าง ๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพื่อที่จะได้รู้ว่าฝุ่นเราดูดไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว และเป็นอีกหนึ่งตัววัดความสะอาดว่าบริเวณนั้นสกปรกมากน้อยแค่ไหน เพราะบางอนุภาคก็เล็กเกินกว่าจะเห็นด้วยตาเปล่า

การควบคุมก็ง่าย ๆ เพียงแค่ปุ่มเดียว สามารถปรับโหมดการใช้งาน Eco, Auto และ Boost (แรงสุดแต่กินแบตเตอรี่) และความฉลาดของตัวเครื่อง Dyson V12 Detect Slim หากเปิดโหมด Auto แล้วเจอฝุ่นที่เยอะมาก มันก็จะปรับความแรงให้เองอัตโนมัติ เมื่อเจอฝุ่นขนาดเล็กกว่า 100 ไมครอน ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา

พลังดูดนั้นเหลือเฟือ Dyson ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ด้วยการดูดเพียงแค่ครั้งเดียวก็สะอาดเอี่ยม การมีเลเซอร์สีเขียวช่วยให้มองฝุ่นได้ง่ายขึ้น (แต่ในกรณีมันมีเยอะอยู่แล้วเลยสังเกตไม่ยากเท่าไหร่) มอเตอร์เพิ่มแรงดูดในเองหากคุณเปิดโหมด Auto และเครื่องได้รับสัญญาณเตือนว่ามีปริมาณฝุ่นที่สูงขึ้น โดยจะทำงานกับฝุ่นขนาดเล็ก

เราลองทดสอบรีวิวประสิทธิภาพกับเบคกิ้งโซดา, เกลือและธัญพืช ที่เป็นตัวแทนของอนุภาคในขนาดที่แตกต่างกันไป ซึ่งผลการทดสอบก็ทำออกมาได้ดีเยี่ยม (มีคลิปให้ดูอยู่ท้ายบทความ) แต่สำหรับคนที่เห็นแล้วไม่เชื่อในประสิทธิภาพ ก็สามารถไปลองทดสอบได้ที่ห้างเซ็นทรัลใกล้บ้าน แล้วจะตัดสินใจซื้อหน้าร้านหรือเว็บไซต์ก็ได้

จากภาพด้านบนจะเห็นได้ว่าเลเซอร์ช่วยได้เยอะ ทำให้เรามองเห็นฝุ่นที่พื้นได้สะดวกยิ่งกว่า เพราะบางครั้งการที่เราดูดฝุ่นที่พื้นไปมานาน ๆ ก็อาจมีบางพื้นที่เราเผลอพลาดลืมไป ส่วนสาเหตุที่ใช้สีเขียวก็เพราะว่าดวงตาเราตอบสนองได้ไวกว่า และสามารถมองเห็นสีเขียวนี้ได้สว่างกว่าสีอื่น ๆ นั่นเอง (อีกหนึ่งความรู้ใหม่เลย)

หัวดูด Hair Screw ก็เป็นอีกหนึ่งหัวที่ผู้เขียนรีวิวค่อนข้างชอบ ในฐานะที่ผมร่วงในบ้านอยู่เป็นประจำ การดูดบางครั้งหากใช้หัวแปรงอื่นเส้นผมก็มักจะติดแปรง แต่สำหรับหัวดูดนี้แทบจะไม่ต้องทำความสะอาดเลย (เพราะมันไม่ติด) โดยการทดสอบด้วยริบบิ้นช่วยให้เห็นกระบวนการดูดของมันในคลิป แรงและทรงพลังมาก ๆ

การใช้งานโดยรวมเป็นไปอย่างน่าประทับใจมาก ในเรื่องของน้ำหนักเบาเพียง 2.2 กก. ตอนแรกคิดว่าแรงดูดจะน้อยกว่ารุ่นอื่น แต่ความจริงแล้วตรงกันข้ามเลย เทคโนโลยีเลเซอร์ที่เพิ่มมานอกจากทำให้เราเห็นฝุ่น แล้วตัวเครื่องเองก็ยังนับจำนวนฝุ่นให้ได้ด้วย เมื่อเจอฝุ่นมากก็ปรับความแรงให้อัตโนมัติอันนี้ชอบเป็นพิเศษ

ข้อดี

  1. น้ำหนักเบามาก
  2. แรงดูดต่อเนื่องไม่มีตก
  3. วัดขนาดและนับจำนวนอนุภาค
  4. ปรับระดับแรงดูดได้อัตโนมัติ
  5. เลเซอร์ช่วยมองเห็นฝุ่นได้ง่ายขึ้น

ข้อเสีย

  1. ราคาค่อนข้างสูง
  2. ระยะเวลาชาร์จนาน 4 ชั่วโมง

สรุป

สองหมื่นกว่าบาท แต่แรงมากจริง ๆ สำหรับเครื่องดูดฝุ่น Dyson V12 Detect Slim ถ้าได้สัมผัสคือจะไม่ผิดหวัง งานประกอบและวัสดุอันนี้ให้ A+ ใช้งานจริงแล้วชอบมาก การให้แรงดูดมหาศาลแถมไม่มีตกระหว่างใช้งาน สามารถดูฝุ่นได้ง่ายกว่าที่เคยด้วยหัวแปรงดูดพื้นแบบพิเศษ เป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แพงแต่ซื้อแล้วรักเลย

เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson V12 Detect Slim วางจำหน่ายในราคา 21,900 บาทสำหรับรุ่น Fluffy และราคา 25,900 บาทสำหรับรุ่น Total Clean (ตัวที่รีวิว) หากสนใจซื้อสามารถเข้าไปได้ที่ Dyson.co.th หรือร้าน Dyson Demo สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว สยามพารากอน และไอคอนสยาม