หลายคนคงทราบกันดีว่า Apple ซื้อกิจการ Beats ไปพักใหญ่แล้ว ทำให้หูฟังรุ่นใหม่อย่าง Beats Flex มาพร้อมกับชิป Apple W1 ที่มีเฉพาะแค่สินค้าของ Apple ทำหน้าที่ในการควบคุมการรับ-ส่งสัญญาณบลูทูธ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายรวมถึงประหยัดพลังงาน โดยมีครั้งแรกในหูฟัง AirPods และในเมื่อ Apple ซื้อกิจการ Beats มาแล้วก็ไม่แปลกที่หูฟัง Beats จะมาพร้อมกับ Apple W1

Beats Flex

สำหรับหูฟัง Beats Flex เป็นการพัฒนาต่อยอดจาก Beats X ที่ขายมานานหลายปี และด้วยราคาที่ถูกลงเหลือเพียงแค่ 1,900 บาท ก็เหมาะที่จะใช้เป็นหูฟังในชีวิตประจำวัน และยิ่งกับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPhone 12 ไม่แถมหูฟังมาแล้วด้วย กลายเป็นว่าอะไรต่างก็ลงตัวกันไปหมด สามารถซื้อคู่มาเพื่อใช้คุณสมบัติ Apple W1 ที่เป็นชิปฝังมากับหูฟังร่วมกัน iOS ได้เลย

คุณสมบัติ

  • หูฟังแบบแม่เหล็กที่เล่น/หยุดพักอัตโนมัติ (เมื่อใช้ร่วมกับ iOS)
  • เสียงระดับพรีเมี่ยม
  • ไมโครโฟนในตัวที่มีระบบลดเสียงลมเพื่อความคมชัดที่ดีอีกระดับ
  • ฟังได้นานสูงสุด 12 ชั่วโมง
  • สบายตลอดทั้งวันด้วยสาย Flex-Form และตัวจุกหูฟัง 4 รูปแบบ
  • ขับเคลื่อนชิป Apple W1 เพื่อการเชื่อมต่อที่ราบรื่น
  • คุณสมบัติการแชร์เสียงร่วมกับ Beats หรือ AirPods ตัวอื่น ๆ ที่จับคู่อยู่
  • การชาร์จแบบ Fast Fuel เพียง 10 นาที ก็ให้คุณสนุกต่อได้นานถึง 1.5 ชั่วโมง
  • Class 1 Bluetooth ให้ช่วงเสียงได้กว้างกว่าเดิมและมีเสียงสะดุดน้อยลง
  • ควบคุมระดับเสียงหรือเพลง ผ่านทาง On-device ที่ติดตั้งอยู่ด้านซ้ายของตัวสายคล้องคอ
  • ปุ่มเปิด/ปิดอยู่ที่ด้านขวาของตัวสายคล้องคอ

ในส่วนของเรื่องสี Beats ก็จัดเต็มมาให้เลือกตั้งแต่ ขาว, ดำ (ตัวที่รีวิว), เหลือง, ฟ้า ด้วยราคาสุดแสนจะประหยัดเพียงแค่ 1,900 บาท และหากใครทันใช้งานสมัยที่ยังเป็น Beats by Dr. Dre จะทราบทันทีว่าหูฟังแบรนด์นี้ปกติราคาค่อนข้างสูง เอาเป็นว่าราคานี้เมื่อเทียบกับการได้ชิป Apple W1 ก็เป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก เรียกได้ว่าเป็นหูฟังที่มีชิป Apple W1 ที่ราคาถูกที่สุดเลยก็ว่าได้

อุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่อง หากไม่นับรวมพวกคู่มือและเอกสาร ก็จะมีเป็นหูฟังและยังมีจุกเปลี่ยนขนาดเพิ่มให้อีกสามระดับ (ขออภัยไม่ได้ถ่ายรูปมา) แล้วก็จะเป็นสายชาร์จแบบสั้นเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตร USB-C (อันที่จริงอันนี้ไม่ต้องแถมก็ได้) เพื่อเอาไว้ชาร์จแบตเตอรี่เข้าหูฟังแบบ Fast Fuel ซึ่งระยะเวลาเพียงแค่ 10 นาที ก็สามารถใช้ฟังเพลงได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 1.5 ชั่วโมง

วัสดุและงานประกอบโดยรวมดูดีสมกับเป็นแบรนด์ Beats ที่อยู่ใต้ร่มเงาของ Apple เอกลักษณ์ของหูฟังรุ่นนี้ก็คือสายแบบแบน ทำให้เวลาเราโยนใส่กระเป๋าก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะพันกัน ตัวหูฟังเป็นจุกแม่เหล็กเหมาะสำหรับไว้คล้องคอ และก็จะหยุดเพลงให้เองเมื่อใช้งานกับ iOS และ iPadOS 14 หรือใหม่กว่า, macOS 11 หรือใหม่กว่า, watchOS 7 หรือใหม่กว่า และ tvOS 14 หรือใหม่กว่า

สรุปก็คือหูฟังรุ่นนี้นั้นเหมาะเป็นอย่างยิ่งหากใช้กับ iPhone, iPad, Mac, Apple Watch, Apple TV แต่ถึงอย่างไรก็ตามด้วยความที่มันเป็นหูฟังบลูทูธอันหนึ่ง (Bluetooth Class 1) ทำให้สามารถใช้ร่วมกับกับ Android หรืออุปกรณ์อื่นทั่วไปได้ปกติ หากคุณเป็นกำลังหาหูฟังไร้สายที่คุ้มค่าสักอันรุ่นนี้ก็น่าสนใจ และมันจะน่าสนใจมากขึ้นไปอีกหากคุณใช้อุปกรณ์ Apple อยู่แล้วนั่นเอง

Apple W1

ที่ต้องพูดถึงบ่อยเพราะมันเป็นเอกสิทธิ์ที่ไม่มีใครเหมือน Apple W1 เป็นชิปบลูทูธภายในที่มองไม่เห็นจากข้างนอก มีเพียงแค่ AirPods และ Beats เท่านั้นที่มี (ในตอนนี้) ความพิเศษของมันคือเพียงแค่เอาเอาไว้ใกล้ ๆ กับเครื่อง iPhone หรืออุปกรณ์ iOS มันก็จะขึ้นสัญลักษณ์ให้ทำการเชื่อมต่อโดยง่าย ให้การเชื่อมต่อที่เสถียรอีกทั้งยังประหยัดพลังงาน ทำให้สามารถฟังเพลงได้ยาวนานมากขึ้น

Apple W1 ช่วยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย

หลังจากเชื่อมต่อเสร็จแล้วก็สามารถตั้งค่าได้เล็กน้อย อ้อ … ลืมบอกไปตอนเชื่อมต่อมันจะแสดงปริมาณแบตเตอรี่ด้วยนะ! (ถ้าเป็นหูฟังบลูทูธทั่วไปจะไม่รู้ปริมาณแบตเตอรี่) และด้วยความที่มีระบบแม่เหล็กทำให้เราสามารถใช้งานหูฟัง ในการหยุดหรือเล่นเพลงได้อัตโนมัติเมื่อเราแยกสายหูฟังออกจากกัน หรือไม่ว่าจะเป็นการรับสายโดยอัตโนมัติ อันนี้ก็สามารถมาตั้งค่าได้ด้วยเช่นกัน

บางคนไม่ชอบ AirPods เพียงเพราะว่าไม่มีปุ่ม แต่สำหรับ Beats Flex ครั้งนี้ให้มาแบบจุใจ ไม่ว่าจะเป็นการหยุดหรือเล่นเพลงต่อ หรือจะเป็นการปรับเพิ่มหรือลดเสียง อันนี้สามารถทำผ่านปุ่มบนหูฟังได้เลย ส่วนเรื่องกันน้ำเข้าหรือว่ายน้ำคงต้องขอบอกว่า หูฟังไม่กันน้ำ แต่ด้วยลักษณะการออกแบบ ส่วนตัวคิดว่าก็ไม่น่าจะเสียหายหรือชำรุดได้ง่าย ๆ นอกจากนี้การใช้งานหูฟังสามารถใส่ออกกำลังกายได้

เสียงเป็นอย่างไร เสียงดีไหม

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนเอง ไม่ได้เป็นนักรีวิวหูฟังเฉพาะทาง ลักษณะการใช้งานจะเป็นผู้ฟังเพลงทั่วไป โดยเสียงที่ได้จากหูฟังยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก แต่หากเทียบกับราคาก็ถือว่าทำออกมาได้ดี มีเสียงดนตรีและเสียงนักร้องที่ชัดเจน ให้ความใสของเสียงเน้นฟังสบายมากกว่า เรื่องของเบสไม่ได้หนักแน่นอะไรมาก เรียกว่าเป็นหูฟังที่เน้นพกพาใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน

ด้วยขนาดของไดร์เวอร์ (Driver) และข้อจำกัดก็ต้องบอกตามตรงว่าเสียงอยู่ระดับกลาง ๆ ไม่ถึงกับขนาดไปเทียบกับ AirPods Pro แล้วชนะอะไรแบบนั้น แต่ด้วยราคาและประสบการณ์ใช้งานที่ได้ก็ประทับใจอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการชาร์จ Fast Fuel ที่เป็นการชาร์จด่วนผ่านทาง USB-C เพียงแค่ 10 นาที ก็สามารถใช้งานได้ 1.5 ชั่วโมง และชาร์จเพียงแค่ 1 ชั่วโมงแบตเตอรี่ก็เต็ม

ระบบแม่เหล็กอันนี้คือชอบมาก ไม่เพียงแค่ทำให้เราสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันโดยไม่หลุด แถมยังมีคุณสมบัติในการหยุดหรือเล่นเสียงโดยอัตโนมัติ และเมื่อมีคนโทรเข้ามาก็สามารถถอดออกมาเพื่อรับสายได้เลย เป็นการออกแบบที่ชาญฉลาดจนทำให้คิดว่า “ไม่ต้องมีเซ็นเซอร์ที่หูฟังก็ได้” ช่วยให้สามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้ด้วยเวลาที่เราจะหยุดฟังเพลง ไม่ต้องมานั่งคอยปิดเปิดหรือเชื่อมบ่อย

เมื่อใช้งานจริงไมโครโฟนในเครื่องก็ใช้งานได้ดี เมื่อถึงเวลาสนทนาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะถึงจะเป็นหูฟังสำหรับฟังเพลงแต่ก็มีระบบตัดเสียงลม บวกกับตำแหน่งของไมค์ที่ใกล้ปากมากเป็นพิเศษ ทำให้การคุยจะได้เสียงที่ฟังชัดแบบไม่ต้องสงสัย เอาไปใช้งานเป็นหูฟังหลักในชีวิตประจำวันได้เลย แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบหูฟังแบบ In-ear อาจรู้สึกไม่ค่อยชินในการใช้งาน ทำให้บางคนชอบ AirPods มากกว่า

เมื่อนำไปใช้งานคล้องคอพบว่าไม่ได้มีน้ำหนักมากเท่าไหร่ ทดสอบด้วยการเอาไปเล่นเกมก็พบว่าดีเลย์ต่ำจนเป็นที่น่าพึ่งพอใจ (iOS) แต่สำหรับบน Android บางรุ่นเท่าที่ลองจะมีดีเลย์มากกว่านิดหน่อย ซึ่งหากคุณไม่ได้ซีเรียสในระดับที่จับผิดก็ไม่ใช่ปัญหา เอาไปดูหนังภาพและปากยังตรงกันอยู่ แบตเตอรี่เมื่อชาร์จเต็มสามารถใช้งานได้ยาวนาน 12 ชั่วโมง และหากแบตเตอรี่หมดก็สามารถชาร์จเร็วได้

ข้อดี

  1. ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็น Beats
  2. มาพร้อมชิป Apple W1 เชื่อมต่อ iOS อย่างลงตัว
  3. แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 12 ชั่วโมง
  4. ชาร์จเร็วเพียง 10 นาที ฟังเพลงได้ 1.5 ชั่วโมง
  5. ระบบแม่เหล็กที่หยุดและเล่นเพลงต่ออัตโนมัติ

ข้อเสีย

  1. ไม่มีคุณสมบัติกันน้ำ
  2. ยังไม่มีโทนเสียงที่เด่นพิเศษ

สรุป

หูฟัง Beats Flex ควรจะฟังสบาย All-Day In Ear ตามชื่อของมัน ใช้งานได้ง่ายไม่มีอะไรให้ปวดหัว สามารถทำงานกับอุปกรณ์พันธมิตรอย่าง iOS ได้เป็นอย่างดี จนทำให้เผลอคิดว่าทำไมถึงไม่ขายพ่วงกับ iPhone 12 ไปด้วยเลย ส่วนในเรื่องของราคาเปิดได้ถูกมากในฐานะ Beats รุ่นหนึ่ง แง่เสียงค่อนข้างที่จะกลาง ๆ คือยังไม่มีอะไรเด่นหรือผิดเป็นพิเศษ แต่เสียงโดยรวมก็ถือว่าฟังได้สบายตลอดวัน

Beats Flex ราคาอยู่ที่ 1,900 บาท สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ผ่าน Shopee

REVIEW OVERVIEW
การออกแบบ
ใช้งานจริง
ความคุ้มค่า
คุณภาพวัสดุ
บริการหลังการขาย
Previous articleรีวิวเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย และถูพื้นแบบเปียก Hoover ONEPWR FloorMate JET
Next articleทรงพลังสูงสุด พกพาได้แสนสะดวก Bang & Olufsen เปิดตัวลำโพง Beolit 20 รุ่นใหม่
review-beats-flexถ้าจะหาหูฟังชิป Apple W1 ที่ราคาถูกที่สุดตอนนี้คือ Beats Flex สามารถใช้งานกับอุปกรณ์ iOS ได้เป็นอย่างดีราวเกิดมาคู่กัน ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ไร้รอยต่อ เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน มาพร้อมกับหูฟังแม่เหล็กทำให้การฟังเพลงสะดวกง่ายดายมากยิ่งขึ้น ด้วยการเล่นเพลงอัตโนมัติรวมถึงหยุดเพลงและรับสายอย่างรวดเร็ว