ห่างหายกันไปสักพักตั้งแต่ Vivo V17 ล่าสุดมีเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ Vivo V19 เพื่อทวงบัลลังก์วีโว่กลับคืนมา ในฐานะสมาร์ตโฟนที่มีความคุ้มค่าและเซลฟี่ได้สวยที่สุดเครื่องหนึ่งของโลก ซึ่งครั้งนี้มีการปรับสเปกหลายอย่างด้วยกัน เริ่มตั้งแต่กล้องหน้าคู่ 32+8 ล้านพิกเซล, ระบบชาร์จเร็ว 33W, รวมถึงโหมดถ่ายรูปล่าสุด Super Night Selfie ที่ดีที่สุดจากการรวมกันของอัลกอริธึม AI Night Selfie และ Face Beauty ไม่ว่าแสงจะน้อยขนาดไหนก็ถ่ายได้สว่างดุจกลางวัน
Vivo V19
สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ถือว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดและใหม่ล่าสุดในตระกูล V Series แต่หากใครอยากได้ราคาที่ถูกลงมาอีกจะเป็น Y Series ซึ่งก็มีสเปกลดหลั่นตามกันไป ตัวกล่องออกไปทางน้ำเงินเข้มเหมือนหลังพระอาทิตย์ตก โดยสีที่เปิดขายจะมี Sleek Silver (ตัวที่รีวิว) และ Gleam Black โดยส่วนตัวผู้รีวิวจะชื่นชอบไปทาง Sleek Silver มากกว่า เพราะเป็นสีที่มีการไล่ระดับลูกเล่นอย่างสวยงาม ออกไปทางสีฟ้าไล่เฉดน้ำเงินและมีอมม่วงในบางองศา
สิ่งแรกที่เห็นเลยก็คือ “กล้องหน้าคู่” อันนี้เป็นจุดเด่นของ Vivo V19 เลยทีเดียว เพราะปกติเรามักจะเห็นกล้องหน้าเพียงแค่เลนส์เดียว (หรือบางแบรนด์ก็อาจใส่กล้องหน้าคู่แต่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าไหร่) โดยทางวีโว่ได้ให้มาถึง 32+8 MP เลยทีเดียว ทำไมต้องมีกล้องหน้าคู่ สาเหตุก็เพราะว่าการถ่ายเซลฟี่ หลายครั้งเราไม่ได้ถ่ายคนเดียวแต่มีเพื่อนด้วย และหลายครั้งเราก็อยากที่จะให้เห็นบรรยากาศข้างหลัง จึงเป็นที่มาของกล้องหน้ามุมกว้างคู่กับกล้องหน้าหลัก
แกะกล่อง Vivo V19
ก่อนที่จะไปถึงขั้นรีวิว (ตอนนี้พรีวิวอยู่) เราก็จะมาแกะกล่อง Vivo V19 ให้ดูกันว่าเมื่อซื้อคุณจะได้อะไรบ้าง อันนี้ไม่นับรวมของแถมอีกมากมายมหาศาล ที่คุณจะได้เพิ่มแยกต่างหากนะครับ (ใครเป็นแฟนวีโว่จะทราบดี ว่าแบรนด์นี้จัดเต็มของแถม) โดยสิ่งที่คุณจะได้มามีดังต่อไปนี้
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- ตัวเครื่อง Vivo V19 พร้อมติดฟิล์มกันรอยจากโรงงาน
- เคสใสแบบ TPU พร้อมจุกปิดพอร์ต USB
- สายชาร์จ USB-A to USB-C
- อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ 33W (Vivo FlashCharge 2.0)
- หูฟัง 3.5 มม.
ครั้งนี้สังเกตได้ชัดว่าวีโว่สละทิ้ง Micro USB เปลี่ยนมาเป็น USB-C ได้พักหนึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงไว้ซึ่งพอร์ต 3.5 มม. เพื่อเอาไว้เสียบหูฟัง ดังนั้นหากใครมีหูฟังเก่าหรือหูฟังโปรดก็เอามาใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องต่อตัวแปลงอะไรให้วุ่นวาย และอุปกรณ์ทั้งหมดที่ให้มาถือว่าครบดี
ดีไซน์และการออกแบบ
ตัวเครื่องออกแบบมาอย่างหรูหรา ด้านหลังเงางามคล้ายกระจกโค้ง 3D ออกแบบตามสรีระศาสตร์เพื่อให้รับกับอุ้งมือ เมื่อสะท้อนกับแสงจะมองเห็นสีที่แตกต่างกันไป ตามวัตถุที่สะท้อนมา ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 6.44″ ให้ความสวยงามไม่ขาดตอนด้วย Super AMOLED FHD+ Ultra O Screen รูกล้องไม่บดบังความงดงามของหน้าจอ E3 OLED ให้สีสันที่สดใสและสมจริงอย่างมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังมีความเที่ยงตรงด้วยช่วงสี DCI-P3 100%
ด้านล่างของตัวเครื่องมีลำโพง, พอร์ต USB-C, และช่องหูฟัง 3.5 มม. มีเล่นมุมเหลี่ยมโค้งเล็กน้อย
ด้านซ้ายของเครื่อง (หากหันหน้าเข้าหาหน้าจอ) จะเป็นช่องใส่ซิมและเมมการ์ด
ด้านบนแบบเรียบอันนี้เป็นไมค์รับเสียงเพียงอย่างเดียวครับ
ด้านหลังเครื่องพวกกล้องและแฟลชจะรวมในตำแหน่งเดียวกัน
สเปกและคุณสมบัติ
- ระบบปฏิบัติการ Android 10 (ครอบทับด้วย Funtouch OS 10)
- หน้าจอ Super AMOLED FHD+ Ultra O Screen 6.44″ (ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล)
- หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 712
- แรม 8 GB
- รอม 128 GB (รองรับ microSD สูงสุด 256 GB)
- กล้องหลัง AI Quad Camera
- กล้องหลัก 48 MP (F/1.79)
- กล้องมุมกว้าง 8 MP (F/2.2)
- กล้องละลายฉากหลัง 2 MP (F/2.4)
- กล้องมาโคร 2 MP (F/2.4)
- กล้องหน้า Dual Front Camera
- กล้องหลัก 32 MP (F/2.08)
- กล้องมุมกว้าง 8 MP (F/2.28)
- ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- แบตเตอรี่ 4,500 mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W (Vivo FlashCharge 2.0)
- ขนาด 159.64 x 75.04 x 8.5 มม.
- น้ำหนัก 186.5 กรัม
รองรับ 4G สองซิม สามารถเพิ่มเมม microSD ได้ต่างหากโดยไม่ต้องแชร์ช่องใส่
กล้องหน้า
Dual Front Camera กล้องหน้าหลักความละเอียด 32 MP (F/2.08) ส่วนกล้องมุมกว้างความละเอียด 8 MP (F/2.28) รับมุมกว้างได้ 105 องศา นอกจากนี้สเปกหน้าจอ E3 OLED ที่ว่าให้ค่าสีตรง 100% DCI-P3 มาตรฐานระดับวงการภาพยนตร์ ยังถนอมสายตาผ่านการรับรองจาก TUV Rheinland Eye Comfort ว่าสามารถกรองแสงสีน้ำเงินที่อันตรายได้มากกว่า E2 OLED ถึงราว 42% เพลิดเพลินไปกับเทคโนโลยีลดการสั่นไหว Low Brightness Anti-Flicker
กล้องหลัง
กลังหน้าว่าดีแล้วแต่จะดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับกล้องหลัง AI Quad Camera สามารถถ่ายวิดีโอได้แบบมืออาชีพด้วยระบบกันสั่น EIS มีลูกเล่นอีกเพียบในด้านวิดีโออย่าง Mono Mode ที่เปลี่ยนฉากหลังเป็นขาว-ดำหรือจะเลือกเฉพาะแสงที่ต้องการ (อันนี้ Vlogger และ YouTuber น่าจะชอบ) แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่าง Live เพราะทางวีโว่ให้มาจัดเต็ม 4500 mAh ส่วนการชาร์จเร็ว 33W เพียงแค่ 30 นาที ก็ได้แบตเตอรี่ 54%
สรุป
จุดเด่นของ Vivo V19 มีอยู่สามเรื่องใหญ่ด้วยกันก็คือ กล้องหน้าคู่, ระบบชาร์จเร็ว, การเซลฟี่กลางคืน แต่พอได้พรีวิวจริงเหมือนจะมีมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพการเล่นเกม ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว แถมชิปยังเป็น Snapdragom ที่เข้ากันได้ดีกับเกมส่วนใหญ่ หน้าจอเองก็คุณภาพสูงใช่ย่อย แถมยังถนอมสายตาไปในตัว โดยประสิทธิภาพทั้งหมดเราจะรีวิวเพิ่มเติมให้ในบทความถัดไป ส่วนพรีวิวตอนนี้จะเป็นแกะกล่องยั่วกันไปก่อนครับ
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial