MEIZU M2 Note แกะกล่อง, พรีวิว, หรือจะเรียกอะไรก็ตามแต่ MEIZU (อ่านว่า “เหม่ยซู”) ได้ประเดิมเริ่มวางขายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก สำหรับรุ่นนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่รุ่นสูงสุด แต่ก็เป็นรุ่นที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่จ่ายไปเลยทีเดียว โดยก่อนหน้าที่จะมีเครื่องศูนย์วางจำหน่าย เครื่องหิ้วรุ่นนี้ขายดีมากและที่สำคัญเครื่องศูนย์ เปิดตัวราคาถูกกว่าเครื่องหิ้ว!
พรีวิว MEIZU M2 Note
MEIZU M2 Note ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 5,990 บาท เริ่มขายวันที่ 29 กันยายน 2558 ในเว็บไซต์ Lazada (เท่าที่สำรวจมาราคาเครื่องหิ้วอยู่ที่ 6,500 บาท) สำหรับตัวแทนจำหน่ายอื่นอาจมีตามมาขายในภายหลัง เพราะผู้นำเข้าและให้บริการหลังการขายคือ SiS
สเปค m2 note สามารถใช้ 3G/4G ได้ทุกเครือข่ายในบ้านเรา 3G (850/900/1900/2100) 4G (1800/2100/2600) ใส่ได้ทั้งสองซิมแต่เป็นแบบใช้รวมกันกับ Micro-SD นั่นจึงหมายความว่าคุณต้องเลือกระหว่างซิมที่สองกับการ์ดความจำ
หน้าจอมีขนาดใหญ่ตามชื่อโน๊ตคือ 5.5″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ต่อยอดจากรุ่นเดิมคือ m1 note พร้อมกับหน้าจอแบบ IGZO ที่กันรอยนิ้วมือได้ดีขึ้นมาก กล่องที่ได้ค่อนข้างดูดีมีสกุลเลยทีเดียว
ขนาดบางเฉียบเพียว 8.7 มิลลิเมตร ด้านหลังโค้งมนตามดีไซน์ R-angle curved ตัวเครื่องไร้รอยต่อแบบ Unibody วัสดุเป็นโพลีคาร์บอเนตหุ้มด้วยแมกนีเซียมอัลลอย และมีน้ำหนักเบาเพียง 149 กรัม
ไม่แถมหูฟัง อันนี้ไม่ต้องตกใจอะไร แล้วแกะกล่องมาก็มีสายชาร์จแล้วก็อแดปเตอร์
ที่ชาร์จทำออกมาค่อนข้างดีจ่ายไฟได้ถึง 2A
และถึงแม้จะเป็นซิมที่รองรับ 3G/4G ทั้งสองซิม แต่หากใครต้องการใส่ Micro-SD Card (TF Card) จำเป็นต้องใส่ช่อง SIM1 เท่านั้น
หน้าจอค่อนข้างสวยเลยทีเดียว งานประกอบทำออกมาได้ค่อนข้างดีมาก ความพิเศษคือปุ่ม Home สามารถใช้เป็นปุ่ม Back ได้ด้วยตัวมันเอง (ให้ความรู้สึกเหมือน iPhone คือมีปุ่มเดียว) แบ่งการทำงานเป็น “กด” คือการเรียกใช้ปุ่ม Home แต่ถ้าหาก “แตะ” จะเป็นการเลือกปุ่ม Back นั่นเอง
ด้านหลังเครื่องเรียบเนียนไม่สะดุดทั้งกล้องและแฟลช ลูบแล้วลื่นไหลเป็นเนื้อเดียวกันไม่มีสะดุด
พอร์ตด้านล่างจะเป็น Micro USB แล้วก็ลำโพงรวมถึงช่องไมค์
ฝั่งด้านซ้ายจะเป็นปุ่มเพิ่มและลดเสียง แล้วก็ปุ่ม Power สำหรับล็อคและปิดเครื่อง
ด้านบนเป็นช่องสำหรับเสียงหูฟังแล้วก็ไมค์อีกตัวหนึ่งครับ
ส่วนอีกฝั่งด้านขวาเป็นช่องเสียบซิมการ์ดแบบเรียบ ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
แบตเตอรี่เป็น SONY ความจุ 3100 mAh สามารถใช้งานได้ประมาณหนึ่งวันเต็ม
ข้อดีอีกประการคือรองรับภาษาไทยรวมถึงเมนู และทาง Meizu ได้พัฒนา ROM ของตัวเองครอบ Android 5.1 อีกทีโดยใช้ชื่อว่า Flyme OS จนแทบไม่เหลือหน้าตาเดิม ๆ ของ Android อีกเลย
ส่วนเครื่องที่ได้มาแรกเริ่มอาจเจอปัญหา Flyme OS 4.5.2I ซึ่งจะได้ทำให้ซิงค์รายชื่อไม่ได้ แนะนำให้ไปอัปเดตเป็น Flyme OS 4.5.3I ที่เว็บไซต์ flyme.cn เพราะบางทีหาจาก OTA แล้วไม่เจอ (วิธีแฟลช)
สรุป
แรกเริ่มแกะกล่องก็รู้สึกประทับใจแล้ว แต่ก่อนผมเป็นแฟน Xiaomi แต่เดี๋ยวนี้คงต้องหันมามอง MEIZU บ้างแล้วล่ะ! เหมือนดั่งคำว่า “ของดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป” และนี่คือสิ่งที่ผมได้จาก MEIZU