Dell PowerEdge R730 หนึ่งในสายผลิตภัณฑ์ของ Dell 13th Generation PowerEdge Server ที่มากับโปรเซสเซอร์ Intel Xeon processor E5-2600 v3 รุ่นล่าสุด พร้อมเทคโนโลยีการบริหารจัดการระบบ และรองรับเทคโนโลยีซอฟต์แวร์-ดีไฟน์ สตอเรจที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเร่งสมรรถนะการทำงานของแอพพลิเคชั่นได้สูงถึง 11x และช่วยลดเวลาในการวางระบบใหม่ได้ สูงถึง10x โดยสายผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่นี้ มีรุ่นที่มีสตอเรจ เซิร์ฟเวอร์ลูกผสม (ไฮบริด) ซึ่งถือเป็นตัวแรกของอุตสาหกรรม ที่มีแฟลชไดรฟว์ 1.8-นิ้ว และ SATA ไดรฟว์ 3.5-นิ้วในเครื่องเดียวกัน

PowerEdge-R730_iDRAC2-1

ทั้งนี้ Dell 13th Generation PowerEdge Server ฟีเจอร์ระบบวิศวะกรรมที่ได้รับแรงบันกาลใจจากลูกค้าพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อราคาระบบ (price performance) สำหรับเวบ แอพพลิเคชั่น เอนเทอร์ไพรซ์ แอพพลิเคชั่น และไฮเปอร์สเกลแอพพลิเคชั่นในวงกว้าง และฟีเจอร์ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีล่าสุดในเทคโนโลยีสตอเรจ การประมวลผล และเมมโมรี่ พร้อมกับความสามารถในการจัดการระบบในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ Dell 13th Generation PowerEdge Server มาพร้อมเทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่ดูแลดาต้า เซ็นเตอร์ หรือเซิร์ฟเวอร์ ฟาร์มให้สามารถตรวจสอบสถานภาพการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ การ set up เซิร์ฟเวอร์เบื้องต้น การตรวจ log หรือ log error และอื่นๆ ได้โดยสะดวก และรวดเร็วผ่านทางสมาร์ท ดีไวซ์ที่เป็น Android ในการใช้งาน เทคโนโลยี NFC จะทำงานร่วมกับระบบ iDRAC Quick Sync ของ Dell ที่อยู่ภายในเครื่องเซิร์ฟเวอร์เพื่อช่วยให้การดึงข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์ไม่ว่าจะเป็นในส่วนฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ หรืออื่นๆ เพื่อการตรวจสอบสามารถทำได้โดยสะดวก และรวดเร็ว

PowerEdge-R730_iDRAC3

จากการวิเคราะห์ของ IDATE เทคโนโลยี NFC อยู่ในช่วงการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น และเป็นที่คาดว่าจะมีอยู่ใน SmartPhone ถึง 575 ล้านเครื่องภายในปี 2558 และเนื่องจาก NFC คือเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินบนโทรศัพท์เคลื่อนที่จึงเป็นที่แน่ใจได้ในแง่ของการรักษาความปลอดภัย (security) และจากรายงานการสำรวจตลาดของ Dell พบว่ามากกว่า 60% ของลูกค้าจะทำงานด้านการจัดการต่างๆ ภายในดาต้า เซ็นเตอร์ตรงหน้าเซิร์ฟเวอร์ และมีแนวโน้มที่ตัวเลขดังกล่าวจะเติบโตมากขึ้น

PowerEdge-R730_iDRAC2

ที่สำคัญ ผู้ดูแลระบบสามารถประหยัดเวลา และได้รับประสิทธิภาพในการทำงานที่มากขึ้นจากการจัดการอัตโนมัติ zero-touch อาทิ การจัดเก็บข้อมูล การเข้าถึง และการใช้ Server Configuration Profile หรือเฟิร์มแวร์ (firmware) อัพเดทจากที่เก็บข้อมูลส่วนกลาง โดยระบบ Zero-Touch Repository Manager และการอัพเดทอัตโนมัติช่วยลดเวลาที่ใช้ในการอัพเดทเฟิร์มแวร์ถึง 92 เปอร์เซ็นต์