ทุกครั้งที่คนตัดสินใจทำอะไรก็ตามบนออนไลน์ หรือในแอพพลิเคชั่น นั่นคือจุดที่ทำให้เกิดข้อมูลใหม่ (new data point) ข้อมูลเหล่านี้คือขุมทรัพย์สำหรับนักการตลาด และนักโฆษณา ที่นำมาซึ่งขั้นตอนวิธีการสร้างแอพและเว็บไซต์ที่สามารถประเมินผลจากพฤติกรรมการตัดสินใจโดยปรับแต่งประสบการณ์ที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลระบบนี้ยังสามารถตรวจรูปแบบของกิจกรรมที่คาดไม่ถึงของกลุ่มบุคคลจำนวนมาก อีกทั้งยังเรียบเรียงข้อมูลเพื่อให้นักวิเคราะห์ข้อมูลใช้ทำงาน และเพื่อให้นักการตลาดนำไปปรับใช้กับงานที่รับผิดชอบ การจัดการข้อมูลไม่เพียงทำให้กระบวนการด้านการตลาดดิจิตอลทำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ยังทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย
Adobe ได้เปิดตัวชุด “วิธีการจัดการข้อมูลแบบใหม่ (Adobe Data Science)” ด้วยการผสมผสาน “พลังความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ และพลังความสามารถการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน” กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลแบบใหม่ใน Adobe Marketing Cloud สามารถทำให้เราค้นพบข้อมูลทางพฤติกรรมเชิงลึกได้ตรงจุด จากข้อมูลมากกว่า 41 ล้านล้านรายการต่อปี รวมถึงการใช้งานโฆษณาแบบสมบูรณ์แบบทั้งภาพ, เสียง หรือ วิดีโอ (Rich Media) กว่า 4.1 ล้านล้านครั้ง เป็นการเปิดทางให้ Adobe นำการวิเคราะห์ข้อมูลสู่รูปแบบการใช้ชีวิต นักการตลาดสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อทำให้สามารถตัดสินในทางธุรกิจได้ดีขึ้น รู้ว่าควรสร้างเนื้อหาแบบไหนถึงจะโดนใจ และได้ประโยชน์จากคำแนะนำและการคาดการณ์ที่พวกเขาอาจคาดไม่ถึง
ความสามารถในการจัดการข้อมูลแบบใหม่นี้มีอยู่ใน Adobe Clouds ทั้งสามระบบคือ Adobe Creative Cloud, Adobe Marketing Cloud และ Adobe Document Cloud สำหรับการจัดการข้อมูลหรือ Data Science ใน Creative Cloud จะช่วยให้นักออกแบบสามารถออกแบบได้ดีกว่าเดิม ตัวอย่างสำหรับ Adobe Photoshop CC ที่รวมความสามารถเช่น Facial Recognition, เทคโนโลยี Content-Aware และความสามารถในการลดความสั่นของกล้อง Camera Shake Reduction เป็นต้น สำหรับ Adobe Document Cloud ก็สามารถใช้วิธีการนี้ในการจัดการภาพ เช่น การตรวจหาขอบเขตของวัตถุในภาพสำหรับไฟล์ pdf และการแก้ perspective ของภาพจากไฟล์ pdf ที่สแกนมาเป็นไฟล์ และยังสามารถเปลี่ยนไฟล์ที่สแกนมาให้เป็นเอกสารที่แก้ไขได้ และสำหรับ Adobe Marketing Cloud ก็มีความสามารถในการจัดการข้อมูลแบบใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 40 ชนิด เช่น Contribution Analysis, Anomaly Detection และ Shoppable Video เป็นต้น
วิทยาการจัดการข้อมูล (Data Science) ในการตลาดดิจิตอลเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลของเราถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถของนักการตลาด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่แสนวิเศษ ตรงความต้องการของแต่ละบุคคล ตรงกลุ่มเป้าหมายและการแบ่งเซ็กเมนต์กลุ่มผู้บริโภค
ปัจจุบันนี้ ผู้บริโภคมีทางเลือกที่จะติดต่อกับบริษัทต่างๆ ได้หลากหลายช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริงนี้ ความสามารถในการจัดการข้อมูลใน Adobe Creative Cloud, Document Cloud และ Marketing Cloud ช่วยขยายธุรกิจในโครงการ Superstar DJ Program ให้กว้างขึ้น สร้างความพอใจให้กับลูกค้าแบบเรียลไทม์ และสร้างประสบการณ์แบบส่วนตัวให้กับลูกค้าได้ทุกช่องทาง ตั้งแต่ระบบคอลล์เซนเตอร์ไปจนถึงบริการในสาขาของธนาคารด้วย
ความสามารถในการจัดการข้อมูลแบบใหม่ของ Adobe Marketing Cloud เกือบทั้งหมดพร้อมให้ใช้งานแล้ววันนี้ ประกอบด้วย:
• การทำให้เนื้อหาดิจิตอลฉลาดขึ้น (Making Digital Assets Smarter): ด้วย Smart Tag ใน Adobe Experience Manager ทำให้นักการตลาดสามารถค้นหาเนื้อหาใน Creative Cloud เช่น ภาพวาด ภาพถ่าย วิดิโอ และเนื้อหาดิจิตอลอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต พลังในการค้นหาด้วยการคาดการณ์การติดแท็ก ทำให้แบรนด์เข้าใจได้ดีขึ้นว่า เนื้อหาที่ผู้บริโภคเห็นมีผลมากน้อยแค่ไหน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาใส่แท็กให้กับภาพนับร้อยนับพันด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น Smart Tag สามารถใช้ภาพที่ถูกระบุด้วยคำว่า “หน้าร้อน” “ภูมิประเทศ” และ “เด็ก” เพื่อค้นหาภาพทั้งหมดที่มีคำเหล่านี้ใน Creative Cloud ได้อย่างรวดเร็ว
• การเสนอรายการโทรทัศน์สำหรับแต่ละบุคคล (Personalized TV Recommendations): ปัจจุบัน ผู้ให้บริการเนื้อหาแบบสตรีมมิ่งนำเสนอรายการสู่ผู้ชม บนพื้นฐานข้อมูลประวัติการชมและการซื้อในระบบปิด การจัดการข้อมูลแบบใหม่ของ Adobe Primetime และ Adobe Target นำข้อมูลจากการชมรายการแบบสตรีมมิ่ง การชมภาพยนตร์ และการถ่ายทอดสดรายการกีฬาของคนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามาใช้วิเคราะห์ และด้วย Adobe Primetime Recommendations โทรทัศน์ในยุคต่อไปจะทำให้สามารถนำเสนอรายการแบบเฉพาะบุคคลได้ โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกทั้งจากพฤติกรรมที่ใกล้เคียงและแบบเฉพาะตัวมาวิเคราะห์ ถ้าคุณดูบาร์เซโลน่าเล่นกับรีลมาดริตบน Apple TV ในคืนวันเสาร์ คุณจะได้รับข้อมูลในคืนวันจันทร์ว่ามีรายการไฮไลต์ฟุตบอลให้ชมเมื่อไหร่ผ่านทางสมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยด์ เป็นต้น
• Segment IQ: โดย Segment IQ ใน Adobe Analytics คือระบบการค้นหาความเชื่อมโยง และความแตกต่างของกลุ่มผู้ชมเป้าหมายที่แตกต่างกัน ผ่านทางระบบการวิเคราะห์อัตโนมัติที่ทำงานในทุกกลุ่มเป้าหมาย Segment IQ จะทำการเปรียบเทียบและเรียบเรียงความแตกต่างทางพฤติกรรมที่สำคัญ และสร้างข้อมูลเชิงลึกขึ้นมาเพื่อช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้ สิ่งนี้ทำให้นักการตลาดและนักวิเคราะห์รู้วากลุ่มเป้าหมายใดสำคัญที่สุด และสามารถตั้งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมายที่เหมือนกันหรือคล้ายกันได้ดีขึ้น ทำให้สามารถครองใจผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ
• ผู้ช่วยวิเคราะห์ส่วนตัว (Your Analytics Personal Assistant): ด้วย Adobe Analytics เครื่องมือ Virtual Analyst จะช่วยให้นักการตลาดทราบความเป็นไปในแบบเรียลไทม์ ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน Virtual Analyst เรียนรู้จากการใช้งานโดยบันทึกและจัดลำดับความสำคัญของความเปลี่ยนแปลงของข้อมูล และจัดสร้างข้อมูลเชิงลึกแบบตรงประเด็นอย่างที่นักการตลาดต้องการเพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ ตัวอย่างเช่น Virtual Analyst ค้นพบว่ารายได้เป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับคุณ ต่อจากนั้นก็ดูที่การสั่งซื้อ จำนวน และการถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดีย Virtual Analyst ยังแจ้งเตือนความผิดปรกติของข้อมูลได้แบบรายชั่วโมง และสร้างอีเมล์แจ้งเตือนได้อีกด้วย บริการนี้คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงปลายเดือนกันยายนปีนี้
• การคาดการณ์มูลค่าของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ (Predicting Consumer Value With Confidence): ด้วยเครื่องมือ “lifetime value decision” ใน Adobe Target จะช่วยให้นักการตลาดคาดเดากระบวนการซื้อที่ทำให้เกิดกำไรสูงสุดจากลูกค้าแต่ละคนได้ สิ่งที่แตกต่างจากวิธีการทดสอบกลุ่มเป้าหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็คือ Adobe Target จะวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมาของลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสมได้แบบเรียลไทม์ ด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลของลูกค้า ผู้ค้าปลีกสามารถจัดลำดับการเสนอส่วนลดให้กับสินค้าคอมพิวเตอร์ ต่อด้วยส่วนลดสำหรับจอมอนิเตอร์ ตามด้วยพริ้นเตอร์ได้ เพื่อที่จะได้กำไรสูงสุดจากการเสนอขายหนึ่งครั้ง
• ข้อมูลเชิงลึกเพื่อการโฆษณาอัตโนมัติ (Automated Insights for Advertising): จะดีแค่ไหนถ้านักการตลาดสามารถลดเวลาวิเคราะห์การเติบโต หรือแนวโน้มของเทรนด์ต่างๆ ด้วยตนเอง และเอาเวลาไปใช้สร้างสรรค์สิ่งอื่น Adobe Media Optimizer คือเครื่องมือค้นหาข้อมูลเชิงลึกด้านการโฆษณาที่จะวิเคราะห์คำถามสำคัญที่ต้องการ และสร้างรายงานที่พร้อมสำหรับเสนอเป็นพรีเซนเตชั่นบนไมโครซอฟท์ พาวเวอร์พ้อยท์ที่มีตารางสถิติ บทสรุป คำแนะนำ ฯลฯ แบบมืออาชีพได้โดยอัตโนมัติ
• การคาดการณ์หัวเรื่องที่น่าสนใจ (Predictive Subject Lines): การตลาดด้วยอีเมล์มีส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้มานานแล้ว แต่นักการตลาดก็ยังคงต้องดิ้นรนหาคำที่ดึงดูดใจลูกค้าบนพื้นฐานของพฤติกรรมความสนใจอยู่เสมอ ข้อความหัวเรื่องในอีเมล์ที่เหมาะสมสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างการถูกลบทิ้งกับการถูกเปิดอ่านได้ วันนี้ Adobe Campaign มีความสามารถที่เรียกว่า automated subject line capability ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลอัตราการเปิดอ่านจากหัวเรื่องอีเมล์ที่ผ่านมา และแนะนำหัวเรื่องอีเมล์ที่เหมาะสมให้ได้ ตัวอย่างเช่น จากการวิเคราะห์แสดงว่า หัวเรื่องอีเมล์ที่มีคำว่า “brand new” จะมีอัตราการถูกเปิดอ่านมากกว่าคำว่า “new” บริการการคาดเดาหัวเรื่องนี้จะเปิดให้ใช้บริการในแบบทดลองประมาณไตรมาสที่สามปีนี้