ถ้ากล่าวถึงเทคโนโลยีกับอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่เราใช้ในชีวิตประจำวันก็มีหลายอย่างที่เราใช้มันจนชินและคุ้นมือคุ้นตาจนรู้สึกเฉยไปกับมันกระนั้นหากมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาอัพเดตสถานะและแจ้งการเตือนหรือช่วยเหลือในทำงานและการใช้ชีวิตให้เข้ากับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้ตลอดเวลาก็คงดีไม่น้อย แล้วอุปกรณ์ที่ช่วยให้เราทำงานหรือใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้นก็มีหลายอย่างหนึ่งในนั้นก็คือ Wearable หรืออุปกรณ์สวมใส่พกพาได้สะดวกมันช่วยให้เราที่แต่มีกิจกรรมทำในแต่ล่ะวันวุ่นยุ่งตลอดหลงลืมมองข้ามไปทั้งที่เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวหรืออยู่ในร่างกายเราเองไม่สามารถบอกได้นี่คือสิ่งที่ตัว Wearable ต้องมีผลกระทบกับเราเพราะบางกรณีอย่างตัวเราเองก็ไม่ได้นึกหรือจดจำได้ทั้งหมดว่าทำอะไรไปเท่าไหร่ อย่างนั่ง เดิน วิ่ง กิน นอน และกิจกรรมอื่นๆ แต่เราไม่เคยนึกเก็บสถิติการใช้ชีวิตเราเลยแม้นแต่น้อยดังนั้นจากจุดเล็ก ๆ ที่กล่าวมามันเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ที่ถูกเขียนขึ้นแล้วนำไปเป็นภาพยนตร์ไม่เว้นแม้นแต่การ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่องที่เป็นจากจินตนาการและไอเดียของคนเขียนแต่งเรื่องขึ้นมาแล้ววันนึงสิ่งของที่เป็นเกิดจากจินตนาการบางอย่างที่มาจากหนังสือการ์ตูนหรือหนังการ์ตูนก็หลุดออกมาเป็นของจริงหรืออาจจะเกินจริงจนเป็นเรื่องของ “True Beyond” ที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ณ ปัจจุบันไมใช่อนาคตอันไกลมันเกิดขึ้นจริงและเกิดมานานแล้วเพียงแต่ใน ณ ยุคต้น ๆ ของเทคโนโลยีที่เรียกว่า “แวร์เอเบิ้ล” (Wearable) นั้นถ้าเกิดจากนักคิดนักประดิษฐ์ที่อยากแก้ไขปัญหาการใช้ชีวิตประจำวันที่ทุลักทุเลไม่สะดวกให้สะดวกขึ้นนั้นเองหากจะไปขุดค้นหาคำตอบว่าเริ่มต้นจากใครหรือถือกำเนิดที่ประเทศใดใครเป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์ของวิเศษนี้ขึ้นมาเราไปหาคำตอบกันครับ
แวร์เอเบิ้ล (Wearable) คืออะไร? มีประวัติความเป็นมาจากไหน?
Wearable ก็คืออุปกรณ์สวมใส่ติดตัวกับร่างกายเสมือนว่าสิ่งของชิ้นนี้ที่เราพกพาเป็นดั่งอวัยวะส่วนนึงของร่างกายที่เราจะขาดเสียไม่ได้ในชีวิตประจำวันหรือห่างตัวเราไม่ได้เลยหากคิดและมองให้ดี Wearable มันก็เหมือนของเล่นที่เราเล่นหรือใช้จนเกิดอาการเสพติดขาดมันไปเราก็ลงแดงแล้วถ้าเราย้อนอดีตไปในช่วงยุคต้น ๆ จากการที่ผมสืบค้นหาข้อมูลจากหลาย ๆ เว็บที่มีเรื่องราวประวัติของ Wearable พบว่ามันเริ่มมาจากสิ่งประดิษฐ์ง่าย ๆ อย่าแว่นตาที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอิตาลี ในช่วงค.ศ 1285 และมีการพัฒนาตัวแว่นตามาเรื่อย ๆ โดยเริ่มต้นโดยบาทหลวง Giordano da Pisa (**ที่มา WikiPedia) เป็นผู้คิดค้นแว่นตาขึ้นมานับเป็นเวลาถึง 12 ปีที่เขาคิดค้นและพัฒนาและนำสู่การปฏิวัติให้ผู้คนที่มีปัญหาทางสายตาได้มองเห็นได้อย่างชัดเจนเหมือนเป็นคนปกติหรืออย่างเครื่องคิดเลขอย่างลูกคิดที่ชาวจีนคิดค้นขึ้นในช่วงยุคทศวรรษที่ 17 และดัดแปลงให้มันเล็กลงจนเป็นแหวนเป็นต้น
ภาพประกอบจาก https://wtvox.com/wearable-tech/history-of-wearable-technology/
จะเห็นได้ว่าจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาในการใช้ชีวิตแถบทั้งสิ้นเลยต้องมีนักคิดนักประดิษฐ์เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ของวิเศษที่จะช่วยให้ชีวิตคนเราที่เจอปัญหาที่เกิดขึ้นให้ชีวิตดำเนินไปได้ง่ายขึ้นและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นจากอุปกรณ์พื้นฐานอย่างแว่นตา นาฬิกา เครื่องคำนวณตัวเลขอย่างลูกคิดและวิวัฒนาการของ Wearable ยุคแรกเริ่มจนมาสู่ยุคอีเล็กทรอนิกส์เป็น Wearable ที่มีลูกเล่นมากขึ้นหลากหลายมากขึ้นโดยการผนวกจากสิ่งของหลายอย่างให้มารวมอยู่ในชิ้นเดียวกันพกพาสะดวกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแนวความคิดใหม่ ของการประดิษฐ์และคิดค้นจนเกิดสิ่งใหม่ออกเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของคนเราได้อย่างไม่น่าเชื่อจนเกิดอุปกรณ์ที่มีพื้นฐานจากยุคแรกเริ่มที่เราเห็นได้ชัดเจนในยุคไอทีอย่าง Smartwatch, Google Glasses, กำไลข้อมือสุขภาพ, แหวนที่สวมใส่แล้วแจ้งเตือนของส่วนตัวหายหรือแม้นแต่นาฬิกาสำหรับคนพิการที่สามารถช่วยให้คนพิการทางสายตารับรู้ได้ว่าเวลาเดินอยู่ที่กี่โมงนั้นก็คืออุปกรณ์ที่เกิดมาสำหรับคนที่ต้องการมันจริง ๆ ที่อยากให้ชีวิตของตัวเองสะดวกสบายขึ้น
[divider]
Wearable Technology ในยุคใหม่เริ่มต้นจากไหน?
Wearable หรืออุปกรณ์สวมใส่นั้นตามที่กล่าวตอบไว้แล้วและหลาย ๆ คนรู้จักดีอย่าง Smartwatch ที่ คนในยุคไอทีอยากได้มาใช้งานโดยมีประโยชน์ในด้านช่วยให้คนเราที่รักสุขภาพหรือรักการออกกำลังกายได้รับรู้ว่าแต่ล่ะวันใช้พลังงานไปกี่แคลโลรี่ เดินวิ่งไปกี่ก้าว นอนไปกี่ชั่วโมง หรือตั้งเวลากำหนดแจ้งเตือนหรือใช้งานร่วมกับ Smart Phone เพื่อช่วยแจ้งเตือนนัดหมาย แจ้งเตือนว่ามีมิสคอลกี่สาย มีแมสเซสข้อความเข้ามันก็ช่วยให้เราคล่องตัวขึ้นแต่นั้นมันไม่ได้เหมาะกับคนทุกคนเพราะ Life Style แต่ล่ะคนต่างกันไปอีกอย่างเจ้าตัว Wearable ในยุคไอทีมีความเกี่ยวข้องกับงานด้านแฟชั่นรวมอยู่ด้วยตัวอย่าง Wearable ที่เกิดขึ้นมาสำหรับผู้ชื่นชอบออกกำลังกายและเป็นจุดเริ่มต้นก็คงเป็นอุปกรณ์ของไนกี้คือ Nike+ FuelBand
ภาพและข้อมูลจาก WikiPedia https://en.wikipedia.org/wiki/Nike%2B_FuelBand
ที่ออกแบบมาในลักษณะของสายรัดข้อมือเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบออกกำลังกายแต่ในช่วงแรกที่วางขายในช่วงปี 2012 นั้นยังไม่บูมนักจะมีเพียงกลุ่มผู้ที่รักสุขภาพชอบออกกำลังกายและสนใจอุปกรณ์ชิ้นนี้กับมีกำลังซื้อเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้งานเท่านั้นโดยในตัวฟีเจอร์ของ Nike Plus FuelBand นี้จะเพียงตัวตรวจจับนับก้าวเดินกับตัวคำนวณวัดจำนวณการเผาพลาญแคลโลรี่ต่อวันเท่านั้นเรียกได้ว่าสุดจะเบสิคการทำงานของมันจะใช้งานร่วมกับ Smart Phone อย่าง Apple iPhone และ Android Phone ได้
แต่เมื่อไนกี้ทำแล้วก็ย่อมต้องมีบริษัทอื่น ๆ ที่มองเห็นช่องทางทำเป็นของตนเองทำออกมาแข่งขันในตลาดทำให้ในปัจจุบันเราจะเห็นตัวอุปกรณ์ Smartwatch ออกมาขายมากมายเต็มไปหมดแล้วมันก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะด้วยราคาที่ถูกลงฟีเจอร์ที่มากขึ้นยกตัวอย่างของถูกคุณภาพดีอย่าง Xiaomi Mi Band ที่ดูเรียบง่ายแต่การออกแบบดูออกไปทางแฟชั่นสวมใส่ง่ายในลักษณะของสายรัดข้อมือ Wristband แต่หลายคนหรือหลายแบรนด์จะเรียกกันว่า Smart Band แทนก็คือ “สายรัดข้อมืออัจฉริยะ” นั้นเอง
ภาพจาก http://www.mi.com/en/miband
ราคาวางจำหน่ายที่ไม่ถึงพันบาทแต่ประสิทธิภาพการจับวัดและเก็บสถิติถือว่าทำได้ดีโดยทำงานร่วมกับแอปใน Smart Phone แต่ก็มีกลุ่มรุ่นที่จะมีฟีเจอร์และความแม่นยำสูงกว่าย่อมแพกว่าพอสมควรอย่างกลุ่มของแบรนด์ Garmin เป็นต้นซึ่งมันทำให้เรารับรู้สถานการณ์ทำงานของร่างกายที่ค่อนข้างแม่นยำกว่าแบรนด์อื่น ๆ หรือถ้าจะคลาดเคลื่อนก็เล็กน้อยกว่ามากบางรุ่นกว่าจะขยับตัวเลขวัดการนับก้าวก็ขึ้นยากกว่าปกติแต่รวม ๆ ถ้าจับมาเทียบวัดนับก้าวกันจะเห็นความต่างได้อย่างชัดเจนแต่กระนั้นการเลือกซื้อของคุณก็อยู่กับงบและความชอบส่วนบุคคลเป็นปัจจัยหลักครับ
[divider]
Wearable Technology สีสันแฟชั่นใหม่ที่มาจากเทคโนโลยีทางการแพทย์
ใครจะนึกว่าวันนึงเราจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีที่มีเพียงจากงานด้านการแพทย์ที่มีเพียงกลุ่มแพทย์และพยาบาลเขาใช้กันกลายเป็นว่ามันคือการปฏิวัติการดำเนินชีวิตด้วยฟีเจอร์ที่แตกกระจายในอุปกรณ์พื้นฐานทางการแพทย์มารวมอยู่ในอุปกรณ์เล็ก ๆ ข้อมือหรือรัดไว้กับตัวอย่างเครื่องวัดแรงดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ มวลกาย เครื่องช่างน้ำหนัก เครื่องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยวัยชราภาพ ซึ่งกลายเป็นว่าเทคโนโลยีของปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายมากเพราะใน Smartwatch ที่เป็นตัว Wearable 1 ชิ้นจะมีหน่วยประมวลผล หน่วยความจำและซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการประมวลผลและใส่ฟีเจอร์ต่าง ๆ ลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ตัวอย่างภาพการแยกชิ้นส่วนในตัว Smartwatch
ดังในภาพตัวอย่างครับ Wearable 1 ตัวส่วนใหญ่ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนจะประกอบด้วย CPU Arm Cortex โดยทาง ARM เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายให้กับผู้ผลิต Smartwatch อื่น ๆ นำไปผลิตสินค้าของตัวเองหรือ CPU จากรายอื่นๆ / จอภาพทัชสกรีน หรือบางรุ่นไม่มีจอทัชสกรีนก็ใช้กดปุ่มเอา / หน่วยความจำ / ซอฟท์แวร์ที่ช่วยในการเชื่อมต่อเพื่อให้อุปกรณ์บนข้อมือสามารถ Sync ข้อมูลเพื่อไปจัดเก็บในหลาย ๆ ที่ได้อย่างสะดวกและงานออกแบบตัวเรือน
ภาพประกอบจาก https://pebble.com/pebble-time-steel-smartwatch-features
ก็เน้นให้เป็นไปได้ทั้งทางแฟชั่นสำหรับคนหลาย ๆ วัยสามารถปรับเปลี่ยนถอดสายรัดข้อมือจากตัวเรือนได้หรือมี Cover ให้เปลี่ยนเล่นก็ยังทำได้
หรือ Android Wear ที่เป็น Smartwatch อื่น ๆ อย่างที่ชัดเจนสุดก็คงเป็น Moto 360 Smartwatch จาก Motorola
[divider]
Wearable Technology มีชื่อเรียกว่าแยกประเภทใดบ้าง?
เริ่มจาก Smart Glasses
ถ้าจะนับเรียกขานชื่อของอุปกรณ์นี้สามารถเรียกได้หลายชื่อและก็แบ่งประเภทได้ด้วยในตัว Smart Glasses แว่นตาอัจฉริยะซึ่งแว่นตาอัจฉริยะนี้ถ้าจำได้เราคงอ๋อนึกออกไปถึง Google Glasses นั้นเองครับแต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียง Google คิดและทำยังมีผู้ผลิตอีกหลาย ๆ เจ้าทำออกมาจำหน่ายและขายจริง
ข้อมูลเพิ่มเติมของ Smart Glasses http://www.chipsip.com/computing/index.php?mode=data&id=126&top=60
ตัวอย่างยี่ห้อ Chipsip ผมเจอที่ไต้หวันในงาน Computex Taipei 2015 เขาทำออกมาขายจริงโดยมีฟีเจอร์คล้าย ๆ กับ Google Glasses คือสามารถออกคำสั่งเสียงค้นหาเส้นทางการเดินทางได้ บันทึกวีดีโอได้หรือเป็นวิชวลไกด์บอกสิ่งของได้ว่านั้น นี่ คืออะไรเป็น Information Data ในตัวและข้อมูลสามารถเชื่อมต่อกับ Cloud Service ของทาง Chipsip เองได้ด้วย
Smartwatch
นาฬิกาอัจฉริยะที่รวมฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างทั้งตัวนาฬิกาเอง การใส่ฟีเจอร์ด้านการช่วยรักษาสุขภาพและออกกำลังกายอย่างการนับก้าว การบันทึกการหลับ อัตราการเต้นของหัวใจ บางรุ่นมีฟีเจอร์แบบ Head Set สามารถคุยสนทนาโทรศัพท์และแจ้งเตือนได้บางรุ่นมีพื้นฐานการนำระบบปฏิบัติการ Android เป็นตัวขับเคลื่อนทำให้เราสามารถเข้าถึงลูกเล่นที่ตัว Android มีและเล่นได้มากขึ้น
ตัวอย่างภาพ Smartwatch แบบต่าง ๆ ที่เป็นตัวต้นแบบใน Smartwatch บางรุ่นบางยี่ห้อนั้นยังสามารถจับสัญญาณ GPS ระบุตำแหน่งได้อย่างยี่ห้อ
Garmin รุ่นรุ่น Vivoactive ( http://sites.garmin.com/en-US/vivo/vivoactive/ )
หรือ Nike+ Sportwatch GPS ก็สามารถทำได้เป็นต้น ( https://secure-nikeplus.nike.com/plus/products/sport_watch/ ) และ Smartwatch ที่หลายคนในยุคนี้อยากครอบครองมากที่สุดคงหนีไม่พ้น
Apple Watch ที่เป็น Smartwatch ที่เน้นความหรูหราและเป็นไปในแบบแฟชั่นและมีฟีเจอร์ที่ Smartwatch ทั่วไปมี
Smart Band สายรัดข้อมืออัจฉริยะฟีเจอร์การทำงานขั้นพื้นฐานทั่วไปหรือบางรุ่นมีหน้าปัดดิจิทัลบอกสถานการณ์ทำงานเบื้องต้นของฟีเจอร์ที่มีได้
ตัวอย่างภาพ Smart Band Talk SWR30 ของ Sony (http://www.sonymobile.com/global-en/products/smartwear/smartband-talk-swr30/)
จะเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าตัว Smart Band เองนั้นมี 2 ประเภทย่อย ๆ คือแบบมีหน้าปัดดิจิทัลกับไม่มีหน้าปัดดิจิทัลแบบ Xiaomi Mi Band
Smart Ring
เป็นแหวนอัจฉริยะที่มีฟีเจอร์ไม่ต่างจาก Smart Band กับ Smartwatch แต่มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สวมใส่กับนิ้วเรา
ที่มา : https://www.mota.com/doi-smart-ring/
Smart Bracelet
เป็นกำไรข้อมือที่ Intel ทำออกมาจำหน่ายโดยเน้นไปทางกลุ่มแฟชั่นและเน้นความหรูหราฟีเจอร์หลัก ๆ ในตัว Intel Smart Bracelet นี้จะมีตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงการแจ้งเตือนต่าง ๆ รวมไปถึงการช่วยค้นหาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ ๆ ที่อยู่ในย่านที่คุณอยู่ได้ด้วย
สามารถดูฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ที่ http://www.intel.com/content/www/us/en/wearables/mica-smart-bracelet.html
Smart Shoes
รองเท้าอัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกับ Smart Phone เพื่อทำการเก็บข้อมูลโดยทำงานไม่ต่างจากเหล่า Smart Band, Smartwatch เพราะใช้หลักการเดียวกันเพียงแต่เปลี่ยนการสวมใส่จากมือมาสู่เท้าเท่านั้นเองครับซึ่งผู้ผลิต Smart Shoes รายใหญ่เห็นจะมีเพียงตอนนี้คือ
Nike ที่ออกรองเท้า Nike Hyperdunk และ Training อย่าง Nike Lunar Hyperworkout+
https://www.youtube.com/watch?v=6VrwugAao6A
คลิปวีดีโอประกอบจาก : Youtube Nike
โดยตัวรองเท้าจะมี Sensors และ Bluetooth 4.0 ไวัส่งข้อมูลเพื่อ Sync กับ Smart Phone
คลิปประกอบจาก XIAOMI GLOBAL
อีกแบรนด์คือ Xiaomi กับ Li-Ning ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาในประเทศจีนร่วมมือกันสร้างรองเท้ากีฬา Smart Shoes
ภาพประกอบจาก : http://www.kicksmarter.com/2015/03/18/li-ning-teams-up-with-xiaomi-to-develop-smart-sport-products/
ภาพประกอบจาก : http://www.techworm.net/2015/07/xiaomi-and-li-ning-launch-ultracheap-smart-shoes-with-military-grade-sensors-starting-32.html
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างให้ดูกันครับว่าในจำนวน Wearable ที่เหมือนจะอยู่ใกล้ ๆ ตัวเราอย่าง Smart Shoes นั้นมีแบรนด์ไหนทำออกมาบ้างซึ่งนอกเหนือสองแบรนด์ที่บอกก็มีอีกหลายแบรนด์ที่คาดว่าจะทำออกมาให้เราเห็นเช่นกันในอนาคต
[divider]
Wearable Technology เพื่องานทางทหาร
ภาพประกอบจาก : http://www.cnbc.com/2014/05/14/the-future-soldier-will-be-part-human-part-machine.html
มีอุปกรณ์ Wearable จำนวนหนึ่งที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้งานในด้านการสงครามออกสู่สมรภูมิรบเป็นอุปกรณ์ประเภทชี้ตำแหน่งของทหารหรือเป็น Bio Sensors ติดตัวเพื่อบอกสถานะของความสมบูรณ์ทางกายภาพที่ข้อมูลจะถูกส่งไปยังศูนย์บัญชาการหมวกที่สามารถติดตั้งอุปกรณ์กล้องแบบ 3 มิติโดยอาจจะอ้างอิงเทคโนโลยีเช่นเดียวกับใน Google Glasses แต่จะมีซอฟท์แวร์ชี้ตำแหน่งเป้าหมายและอินฟราเรดตรวจจับคลื่นความร้อนของศัตรูได้เป็นต้น
[divider]
Wearable มีประโยชน์อย่างไรต่อชีวิตประจำวัน?
ถ้าให้สรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับประโยชน์ที่เราได้รับจากการใช้งาน Wearable ก็คงเป็นเรื่องความสะดวกสบายและช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ประโยชน์สูงสุดในสายตาผมเองก็คงเป็นเรื่องของทางการแพทย์มากกว่าที่จะนำมาใช้เป็นแฟชั่นเก๋ ๆ ในความหมายตรงนี้ผมหมายถึงอุปกรณ์ช่วยชีวิตคนป่วยหรือผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวอย่างคนเป็นโรคหัวใจอยู่บ้านแต่ทางโรงพยาบาลให้ใส่ Smart Band ที่มีฟีเจอร์กดปุ่มฉุกเฉินเรียกรถพยาบาลได้ก่อนที่จะรู้สึกวูบหรืออีกมุมมองที่เป็นประโยชน์คืออุปกรณ์ที่ช่วยให้ป้องกันภัยร้ายจากมิจฉาชีพหรือโจรได้เช่นหากเป็น Smart Watch แล้วเราพกใส่ไว้กับตัวถ้ามีโจรคิดจะทำร้ายเราก็เพียงกดปุ่มให้เกิดเสียงดังมาก ๆ รวมไปถึงส่งสัญญาณแจ้งขอความช่วยเหลือไปยังยามหรือตำรวจที่อยู่ในบริเวณใกล้ ๆ ให้มาช่วยเราได้พร้อมบอกตำแหน่งพิกัดผ่าน GPS นี่ก็เป็นไอเดียจากผมที่คิดว่ามีประโยชน์ในชีวิตประจำวันสูงสุดจาก Wearable ที่ไม่เพียงรองรับและตอบโจทย์ Life Style การใช้ชีวิตในยุคไอทีแต่มันสามารถเข้าถึงผู้คนหลากหลายได้อย่างลงตัวอีกทั้งยังเป็นแฟชั่นมีสีสันเป็นเครื่องประดับเครื่องแต่งกายที่ควบคู่กับการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วยนี่แหละคือการเดินทางของ Wearable ที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของเราในยุคไอทีและอีเล็กทรอนิกส์ครับ
[divider]
Wearable Technology มีผลกับ Cloud Computing ในยุคต่อไปอย่างไรบ้าง?
ภาพประกอบจากโครงการ IBM Bluemix หนึ่งในโครงการสร้าง Platfrom สำหรับ Wearable Cloud Service
ในยุคไอทีและนวัตกรรมทางอีเล็กทรอนิกส์ที่หลาย ๆ อย่างหมุนไปอย่างเร็วขึ้นในด้านการจัดเก็บข้อมูลที่เราไม่ต้องแบกของหนักพก อะไรเยอะแยะเพื่อเก็บข้อมูลยุคของการจัดเก็บข้อมูลลงแผ่น CD, DVD ใกล้จะตายเต็มทีก็เข้าสู่ยุคการจัดเก็บแบบ Cloud Computing และมันเกี่ยวกับ Wearable Technology ตรงไหนผมคงบอกได้ว่ามีความเอี่ยวอยู่กันตรงที่การจัดเก็บและการ Sync ข้อมูลของผู้ใช้ Wearable อย่าง Smartwatch บ้างยี่ห้อเขาจะมี Cloud Service ไว้ให้ลูกค้าที่ซื้อไปใช้แล้วทำการจัดเก็บทั้งใน Smart Phone และ Sync เข้ากับ Cloud Server อีกทีนึงแล้วยังสามารถดูสถิติที่เก็บไว้ผ่านหน้าเว็บได้ด้วยทำให้ผู้ใช้ สะดวกสบายยิ่งขึ้นที่ต้องการดูข้อมูลย้อนหลังหรือล่าสุดก็ตาม แต่ในมุมมองของผมมองไปไกลกว่านี้คือ Wearable มันจะไม่เป็นเพียงอุปกรณ์สวมใส่มีฟีเจอร์พื้น ๆ แค่จัดเก็บสถิติแต่ต่อไปอาจจะมีอุปกรณ์ที่สามารถช่วยให้เราพกและ Sync ไฟล์งานอัพโหลดขึ้น Cloud Server ได้ต่อเลยอันนี้ก็น่าเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้นี้ครับ
[divider]
สรุป
ไม่ว่าโลกของเราและเทคโนโลยีจะหมุนไปเร็วเพียงใดเราจะมีอุปกรณ์คอยช่วยอำนวยความสะดวกและช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเราที่แสนจะยุ่งเหยิงแค่ไหนตัวเราก็ยังคงคอยพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อให้ทันโลกทันเกมการแข่งขันเพราะชีวิตคือ “การแข่งขัน” ที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทองหรือสิ่งใด ๆ แต่เราจะใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Wearable ต่าง ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างไร้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็ขึ้นกับตัวเราเองฝากไว้เป็นแง่คิดครับสำหรับบทความนี้จบเพียงเท่านี้สวัสดีครับ