ขายดีจนต้องมีรุ่นต่อยอด Vivo S1 ตอนนี้พัฒนามาเป็น Vivo S1 Pro อัปเกรดกล้องหลังพร้อมดีไซน์ใหม่ ด้วยงบประมาณไม่เกิน 10,000 บาท สามารถถ่ายด้วยเลนส์ Macro มาพร้อมกับดีไซน์ Diamond เพิ่มความรู้สึกแปลกใหม่ และมีชีวิตชีวา มองเห็นแต่ไกลก็ยังสามารถเดารุ่นได้ถูกต้อง ไม่ซ้ำกับรุ่นอื่น แถมยังมีสีใหม่ฟุ้งฟิ้งสายรุ้งยูนิคอร์นอีกด้วย
Vivo S1 Pro
ดีไซน์ใหม่โฉมใหม่มาพร้อมกับสี Knight Black และ Fancy Sky (ตัวที่รีวิว) ส่วนสเปกมีการปรับเพิ่ม RAM จากเดิม 6 GB ครั้งนี้ให้มาถึง 8 GB ส่วนกล่องก็ไม่ได้มีอะไรเวอร์วังมาก “S1 Pro” คำเดียวเข้าใจง่าย ROM ยังคงให้มาอยู่ที่ 128 GB เท่าเดิม (แค่นี้ก็เก็บไม่หมดแล้ว!) เพื่อคำสมกับคำว่าโปร ดังนั้นรุ่นนี้จะแพงกว่ารุ่นเก่า 1,000 บาท
Vivo S1 Pro ราคาเปิดตัว 9,999 บาท
สำหรับใครที่สนใจก็สามารถไปหาซื้อได้ตามศูนย์ หรือตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน ถ้าเอาง่ายหน่อยก็สั่งผ่าน Lazada รวมพวกส่วนลดของแถมแล้วยังไงก็น่าจะคุ้มแน่นอน แถมได้โปรโมชัน 12.12 ที่มีของแถมให้อีกมากมาย โดยเฉพาะ Vivo ขึ้นชื่อเรื่องลดแลกแจกแถมอยู่แล้วด้วย เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนหาสมาร์ตโฟนราคาไม่เกินหมื่น
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- ตัวเครื่อง (ติดฟิล์มมาให้จากโรงงาน)
- สายชาร์จ USB-C
- หูฟัง 3.5 มม.
- อะแดปเตอร์ 9V/2A
- เคสใส
ตัวเครื่องมีขนาดจอเท่าเดิมคือ 6.38 นิ้ว FHD+ Super AMOLED ความละเอียด 2340 × 1080 พิกเซล พร้อมกับคุณสมบัติ Always-On-Display แบบเดียวกับที่อยู่ใน Samsung รุ่นแพงหน่อย ด้านบนเป็นกล้องแบบหยดน้ำ (Halo FullView Display) และหากเทียบสัดส่วนหน้าจอกับ S1 จะอยู่ที่ 89.98% ส่วนรุ่นใหม่ล่าสุด S1 Pro จะอยู่ที่ 90%
ตัวเครื่องที่ได้มารีวิวคือสี Fancy Sky ซึ่งขอเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “สีสายรุ้งยูนิคอร์น” อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัวเพราะหวานมาก ถือแล้วโดดเด่นไม่ค่อยซ้ำกับใครดี แต่หากใครต้องการสุภาพคงต้องไปเลือกสี Knight Black แทนครับ และการวางกล้องแบบ Diamond ไม่ต้องเรียงเป็นแนวตรงให้ซ้ำซากอีกต่อไป ดูแล้วอยากจะให้รางวัลกับคนออกแบบเลย
ด้านล่างจะเป็นลำโพง ถัดมาก็จะเป็นพอร์ต USB-C แล้วตามด้วยไมค์สนทนา
ในส่วนของด้านขวาเครื่องจะมีปุ่มเปิด/ปิดเครื่องเป็นสีแดงเด่นชัด ขอบข้างเป็นชมพูอ่อนรอบเครื่อง
ด้านบนของเครื่องยังคงไว้ซึ่งช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ถัดมาเป็นไมค์อีกตัวหนึ่ง
ตัวเครื่องจะมีความโค้งในทุกมุมของตัวเครื่อง โค้งรับเข้ากับข้อมือได้เป็นอย่างดี ส่วนดีไซน์การออกแบบมาจากเครื่องประดับที่หรูหรา และสถาปัตยกรรมพระราชวัง (เขาว่ามีอย่างนี้) เอาเป็นว่ามันดูหรูมากมาย บวกกับดีไซน์แบบ Diamond ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ทำให้ตัวเครื่องสมาร์ตโฟนดูมีชีวิตชีวาและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
กล้องหน้า 32 MP เป็นติ่งยื่นลงมาเล็กน้อยตามสมัยนิยม
ด้านหลังเป็นจุดขายของรุ่นนี้พร้อมคำว่า “48 MEGA PIXEL” ไม่เพียงแค่ละเอียดสุด ๆ ในระดับสมาร์ตโฟนไม่เกินหมื่นบาท แต่ยังมีการให้เลนส์มาถึง 4 ระยะด้วยกัน ประกอบไปด้วยเลนส์ระยะปกติ, เลนส์ระยะกว้างพิเศษ, เลนส์ระยะมาโคร, และเลนส์สำหรับวัดความลึกอีกหนึ่งตัว แถมการวางตำแหน่งเลนส์ยังวางอย่างได้องศา ไม่ซ้ำซากจำเจเหมือนใคร
สเปก | Vivo S1 Pro
- ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie (ครอบทับด้วย Funtouch OS 9)
- หน้าจอ 6.38″ Super AMOLED FHD+
- หน่วยประมวลผล Snapdragon 665
- แรม 8 GB
- รอม 128 GB
- กล้องหลัง AI Quad Camera 48 + 8 + 2 + 2 MP (f/1.8 + f/2.2 + f/2.4 + f/2.4)
- กล้องหน้า 32 MP (f/2.0)
- รองรับระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอ
- รองรับ 4G ทั้งสองซิม (แชร์ร่วมกับ microSD)
- แบตเตอรี่ 4500 mAh รองรับ Fast Charge 9V 2A
- ขนาด 159.25 × 75.19 × 8.68 มม.
- น้ำหนัก 186.7 กรัม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสมาร์ตโฟนราคาไม่เกิน 10,000 บาท ก็สามารถมีหน้าตาดีไซน์ที่เป็นแฟชั่นได้ ไม่แพ้เครื่องระดับสองหมื่นกว่าบาท ไม่เพียงแค่สีของเครื่องเท่านั้นที่ทำให้ดูสวยงาม แต่อะไรก็ดูเหมือนจะลงตัวด้วยกันไปหมด เริ่มตั้งแต่การวางกล้องที่ “ฉีก” กฎเกณฑ์เดิม ๆ ที่ต้องเรียงเลนส์เป็นแนวเดียวกัน แต่ในรุ่นนี้เอามาวางเป็นจตุรัสได้อย่างเป็นระเบียบ
อย่างในเรื่องของวัสดุที่ดูหรูหราจนเหมือนกระจก แท้จริงแล้วเป็นพลาสติกที่สะท้อนแวววาวได้ใจ ข้อดีอีกประการก็คือไม่ต้องกลัวว่ามันจะแตก ส่วนเรื่องรอยนิ้วมือก็ไม่มีปัญหา (แต่เครื่องสีดำไม่ยืนยันเพราะไม่ได้รีวิว) แถมเคสที่ให้มาก็เป็นเคสใส ไม่บดบังความงดงามของตัวเครื่อง โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่ใส่เคสก็สวยไปอีกแบบครับ แต่อาจต้องระมัดระวังนิดนึง
จะเล่นเกมหรือดูหนังก็เต็มตาเต็มอารมณ์ด้วยหน้าจอ Super AMOLED ให้สีที่ชมจริง ส่วนความละเอียดก็อยู่ในระดับกำลังพอดีไม่มากไม่น้อยด้วย Full HD+ (1080 x 2340 พิกเซล) บนหน้าจอขนาด 6.38″ ไร้ซึ่งปุ่มหรือสแกนลายนิ้วมือรบกวน (สแกนนิ้วมือบนหน้าจอได้เลย) ทำให้ได้พื้นที่แสดงผลจุใจด้วยอัตราส่วน 90% เมื่อเทียบกับขนาดเครื่อง
หากมองหน้าจอ Halo FullView Display จะเห็นว่ามันเต็มตาเต็มขอบมาก จะมีก็เพียงติ่งหยดน้ำเกินมานิดหน่อย ซึ่งตรงที่หากใครไม่ชอบก็สามารถย่อลงมาได้ แต่ส่วนตัวผู้รีวิวค่อนข้างชินกับหน้าจอแบบนี้แล้ว (เพราะแบรนด์ไหนก็เป็น ยกเว้นจะหนีไปใช้รุ่นกล้องป๊อปอัพอย่าง Vivo V15 Pro หรือ Vivo V17 Pro) ส่วนกระจกครอบทับเป็นแบบ 2.5D รอบด้าน
ด้านหลังมีกล้องทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน หรือจะเรียกว่า AI Quad Camera ก็ได้เช่นกัน ประกอบไปด้วยกล้องความละเอียด 48 MP + 8 MP + 2 MP + 2 MP และมีรูรับแสง f/1.8 + f/.2.2 + f/2.4 + f/2.4 ตามลำดับ โดยกล้องที่เราใช้ถ่ายบ่อยที่สุดจะเป็นตัว 48 MP มาพร้อมกับระบบ AI อัจฉริยะที่สามารถปรับภาพได้ตามแต่สถานการณ์
ความพิเศษของกล้อง Vivo S1 Pro ที่หลายแบรนด์ไม่ค่อยมีกันก็คือ “กล้องมาโคร” (Super Macro) อันนี้มันเจ๋งมากสำหรับคนที่ชอบอัปโหลดรูปสวย ๆ ลงใน Instagram สามารถถ่ายอะไรที่เล็กจิ๋วอย่างดอกไม้ ดอกหญ้า ให้มีความคมชัดมากกว่าเลนส์กล้องทั่วไป ความละเอียด 2 MP สามารถถ่ายภาพวัตถุได้ในระยะใกล้สุด 4 เซ็นติเมตร
ในบางครั้งที่เราเบื่ออาจลองถ่ายด้วยมุมกว้างดูบ้าง (Super Wide-Angle) ช่วยให้เก็บพื้นหลังได้ครบถ้วน เพราะมีมุมมองกว้างถึง 120 องศา และไม่ต้องกลัวเรื่องภาพจะบิดเบี้ยวเพราะบันทึกจริงจะเป็นมุมมอง 108 องศา ข้อดีก็คือหากใครอยากถ่ายรูปแล้วขายาว แนะนำเป็นกล้องมุมกว้างสาว ๆ จะดูผอมลงและขายาวกว่าความเป็นจริงได้อีกเยอะมาก
สำหรับคนที่โพสต์ท่าถ่ายรูปไม่เก่งก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะตัวเครื่องจะมีการแนะนำท่าทางให้เรียบร้อย มีให้เลือกเยอะมากและหลายหมวดหมู่ ใช้ได้ทั้งในโหมดกล้องหน้าและกล้องหลัง และไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายรูปคนเดียว แต่ยังรวมถึงท่าโพสต์ถ่ายรูปกับเพื่อนก็ยังได้ วิธีใช้งานเพียงแค่โพสต์ท่าตามเส้นประ จากนั้นจัดระยะห่างให้ดี AI จะทำการถ่ายให้เอง
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สุดเจ๋ง อย่างการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ หรือหากใครชอบสแกนใบหน้าก็สามารถทำได้ และด้วยการทำงานของหน้าจอ Self-Illuminating ทำให้มันสามารถแสดงผล Always On Display ได้ตลอดเวลาโดยไม่กินแบตเตอรี่ ทำให้เราสามารถดูเวลา, วันที่, แบตเตอรี่ รวมถึงสถานะการแจ้งเตือนสารพัด โดยที่ไม่ต้องปลดล็อคเครื่อง
มีให้ใช้งานถึง 4 เลนส์ (AI Quad Camera) ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
Vivo S1 Pro
เลนส์ระยะปกติ เลนส์ระยะกว้าง
การที่มีเลนส์ให้เลือกใช้งานที่หลากหลาย ทำให้เราสามารถถ่ายรูปได้อย่างไร้ข้อจำกัด ยกตัวอย่างเช่นหากเน้นความละเอียดก็ปรับโหมด 48 MP หรือถ้าถ่ายแล้วมุมไม่กว้างพอก็สามารถเปลี่ยนเป็น Super Wide-Angle และหากอยากเน้นวัตถุขนาดเล็กก็เปลี่ยนเป็น Super Macro สุดท้ายถ้าฉากหลังรกมากก็สามารถใช้ Bokeh ช่วยละลายฉากหลังได้
Selfie แบบปกติ AI Face Beauty
ในส่วนของกล้องหน้าจะมีความละเอียดน้อยกว่ากล้องหลัง แต่ก็ถือว่า 32 MP เป็นความละเอียดที่เพียงพอ (เยอะกว่าหลายแบรนด์ด้วยซ้ำ) ข้อดีคือเราจะได้รูปที่มีความละเอียดมาก สามารถเอาไปแต่งต่อในแอปพลิเคชันอื่น ได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากคนที่ทำงานด้านภาพถ่ายจะเข้าใจดีว่าภาพละเอียดสูง เอาไปทำงานต่อได้มากกว่าภาพที่ความละเอียดต่ำ
ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแค่กล้องที่ดี แต่ส่วนหนึ่งยังต้องยกความดีความชอบให้กับ AI ของทางวีโว่ ที่ประมวลผลภาพได้ดีมาก สามารถถ่าย Selfie แบบย้อนแสงได้โดยที่หน้าไม่ดำ ในอดีตส่วนตัวผู้รีวิวเองเคยได้ยินชื่อเสียงของกล้องหน้าวีโว่จากสาว ๆ มาบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะดีมากขนาดนี้ เรามาถึงในจุดที่การแต่งภาพ Selfie อัตโนมัติหลังกล้องดูไม่หลอกเหมือนแต่ก่อน
การถ่ายภาพกลางคืนก็ยังถือว่ารอดอยู่ แม้ว่าจะเป็นเครื่องราคาไม่ถึงหลักหมื่นก็ตาม กล้องหลัก 48 MP ทำได้ดีมากรวมถึงกล้องหน้า 32 MP แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเป็นกล้องมุมกว้างจะถ่ายลำบากหน่อยเพราะมีค่า f/2.2 จะติดมืดเสียมากกว่า ตัวเครื่องมีข่าวจะได้รับการอัปเดต Super Night Mode ในวันที่ 22 ธันวาคม หากได้มาช่วยกับ AI จะถ่ายกลางคืนได้ดีขึ้น
ตัวเครื่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie (ครอบทับด้วย Funtouch OS 9) มีการปรับแต่งด้วยความเรียบง่าย ทว่างดงาม เน้นการใช้งานที่ง่ายเป็นหลัก เมนูและหน้าตาเป็นมิตรกับผู้ใช้ เน้นความสดใสของมากกว่า นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งรูปทรงไอคอนได้ตามใจชอบ เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานของแต่ละคน พร้อมกับผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi
การตั้งค่ามีให้เลือกมากมายหลากหลายโหมด ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็น Android เหมือนกันแต่ว่า Vivo สร้างความแตกต่างในการใช้งานได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi ที่พัฒนาร่วมกับ Google หรือจะเป็นการเปิดโหมดมอเตอร์ไซค์ และโหมดที่ครองใจคนเล่นเกมมากที่สุดอย่าง Ultra Game Mode ที่ช่วยให้เล่นเกมสนุกขึ้นหลายเท่า
ตัวเครื่องให้ RAM มาทั้งหมด 8 GB หลังจากเปิดใช้งานระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน (ของเดิมยังไม่ได้ลงอะไรเพิ่มเติม) ใช้ไปแล้วเหลือทั้งสิ้น 6.5 GB ก็นับว่าเหลือเฟือในการเปิดหลายหน้าพร้อมกัน ส่วนหน่วยความจำหลังจากเปิดเครื่องมา จะเหลือให้ใช้งานได้จริงประมาณ 112.67 GB และสำหรับแบตเตอรี่ที่ให้มา 4,500 mAh เพียงพอสำหรับการใช้งานทั้งวัน หากยังไม่พอก็ยังมีโหมดประหยัดพลังงานขั้นสูงให้เปิดใช้งาน ส่วนระบบชาร์จไฟเป็น 18 วัตต์ (Dual-Engine Fast Charging) สามารถชาร์จไฟได้เร็วและปลอดภัย เครื่องไม่ร้อน ส่งผลให้แบตเตอรี่ไม่เสื่อมไว
เรื่องกล้องอย่างที่ได้กล่าวไปคือลูกเล่นเยอะมากกกกก ให้เล่ารีวิวกันทั้งวันก็แทบไม่มีทางหมด ปรับแต่งได้ละเอียดชนิดที่ว่า แทบไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันแต่งภาพเพิ่มเลย อยากเล่นหรืออยากปรับโหมดไหนมีหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งการถ่ายรูปน่ารักแบบที่เกาหลีและจีนกำลังนิยม เซลฟี่สุดน่ารักแบบ AR อันนี้ก็มีหลายลายให้ได้เลือกดาวน์โหลดมาเล่นกัน
ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่ง UI ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเครื่องไหว (ทั้งตอนสแกนลายนิ้วมือและใบหน้า) ไปจนถึงการชาร์จว่าอยากให้ขึ้นหน้าตาแบบไหน นอกจากนี้การแสดงผลแบบ Always On Display แบบเปิดหน้าจอตลอดเวลาโดยไม่ต้องจับเครื่อง อันนี้ก็ยังมีให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบ เรียกได้ว่าใช้งานกันไปเป็นปียังไม่เบื่อกันเลยทีเดียว
ฟีเจอร์สุดท้ายไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ ถึงแม้ว่าสมาร์ตโฟนรุ่นนี้จะไม่ได้เน้นเล่นเกมก็ตาม (แต่มันก็เล่นได้เกือบทุกเกมแถมลื่นด้วย) ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ไม่มีในแบรนด์อื่นอย่าง Ultra Game Mode เริ่มจากการรีดประสิทธิภาพของ CPU และ GPU ให้ออกมาแล้วสามารถเล่นเกมด้วยเฟรมเรตที่ดีขึ้น ลดอาการกระตุกระหว่างการเล่นเกม ทำให้ใช้งานได้ดีขึ้น
แถมยังมีผู้ช่วยจัดการเกม ทำให้เวลาเล่นเกมไม่ถูกรบกวนจากการแจ้งเตือนต่าง ๆ ควบคุมได้กระทั่งสายเรียกเข้า หรือแม้กระทั่งการย่อจอให้เล็กลง การเล่นเกมแบบอัตโนมัติแม้ว่าจะจะดับ (เหมาะกับบางเกม) ที่ชอบก็คือสามารถป้องกันการสัมผัสโดยบังเอิญ ทำให้ไม่เผลอไปโดนระหว่างกำลังเล่นเกม อันนี้ช่วยได้เยอะมากสำหรับคอเกม หลงรักกันไปเลย
ข้อดี
- กล้องสี่ตัว (AI Quad Camera)
- แบตเตอรี่ 4500mAh ใช้งานทั้งวัน
- สแกนนิ้วบนหน้าจอ
- มีเคสในตัว ติดฟิล์มมาจากโรงงาน
- หน้าจอใหญ่ 6.38 นิ้ว
- กล้องหน้า 32 MP (AI Selfie)
- คุ้มค่าราคาประหยัด
ข้อเสีย
- รออัปเดตกล้องโหมดกลางคืน
- หน่วยประมวลผลไม่เหมาะกับเล่นเกมหนัก
- ช่องใส่ซิมต้องแชร์กับ microSD
- ไม่รองรับ NFC
สรุป
หากคุณชอบ Vivo S1 ยังไงก็ต้องชอบ Vivo S1 Pro กับความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในหลายด้าน สวยขึ้น กล้องดีขึ้น แบตเตอรี่อึดขึ้น (ถึงแม้ว่าความจุจะเท่าเดิม) มีการเลือกใช้หน่วยประมวลผลที่ดีขึ้นอย่าง Snapdragon 665 ที่สามารถจัดการพลังงานได้เป็นอย่างดี หากเอาไปเน้นถ่ายภาพนิ่งจะเหมาะอย่างยิ่ง เพราะมีเลนส์ให้เลือกใช้หลายรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ที่ว่ามา อยู่ในงบประมาณไม่ถึง 10,000 บาทด้วยซ้ำ! ยังไม่รวมโปรโมชันและของแถมที่จะได้อีก
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial