รีวิวแบบไม่สปอยเนื้อหา แฟนเดย์ “แฟนกันแค่วันเดียว” ภาพยนต์เรื่องแรงจาก GDH 559 หลังจากเปลี่ยนชื่อจาก GTH กำกับโดย โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล (จากเรื่อง พี่มากพระโขนง, กวน มึน โฮ, ฯลฯ) ในฐานะที่ผมเองก็ไม่ได้เป็นกูรูภาพยนตร์เท่าไหร่ ลองมาอ่านรีวิวตามสไตล์ของ Tech Blogger กันบ้างดีกว่า
แฟนเดย์ “แฟนกันแค่วันเดียว”
ฉากเริ่มต้นด้วยพระเอกของเรา “เด่นชัย” (เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) พนักงานไอทีบริษัทอาหารแห่งหนึ่ง เป็นมนุษย์ผู้ไม่เคยมีตัวตนในสังคมหรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน และก็ดูเหมือนว่าจะสะท้อนบุคลิกของคนสายอาชีพนี้ ที่มักคลุกคลีกับคอมพิวเตอร์มากกว่าการสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เด่นชัย เป็นคนที่พูดตรงโกหกไม่เก่งและอันที่จริงก็ดูไม่ค่อยน่าคบหาเท่าไหร่นัก (ถึงแม้ลึก ๆ แล้วเขาจะนิสัยดีก็ตาม) ด้วยอารมณ์และความรู้สึกแบบนี้ ทำให้ตรงใจกับผู้ชายโสดหลายคน … ว่านี่มันกู นี่มันชีวิตกูชัด ๆ
ต่อด้วยนางเอก “นุ้ย” สาวการตลาดที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี จนทำให้เด่นชัยไปเผลอตกหลุมรักเข้าตอนซ่อมปริ้นเตอร์ให้ พร้อมทั้งอธิบายเรื่องปีปฏิทินปี Tick-Tock (อันนี้คนไอทีน่าจะพอเข้าใจ) แน่นอนว่าในฐานะ หมามองเครื่องบิน ตัวเด่นชัยเองก็ได้แต่มองห่าง ๆ พร้อมกับเฝ้าดูตามสไตล์คนแอบรัก … เห้ย! นี่มันชีวิตกู (อีกแล้ว)
เนื้อเรื่องสั้นต่อจากนั้นดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบริษัทได้พาพนักงานทั้งหมดไปเที่ยวฮกไกโด เด่นชัยบังเอิญได้ขอพรกับระฆังอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “ขอให้ได้เป็นแฟนกับนุ้ย แค่วันเดียวก็ยังดี” และแล้วไม่ว่าด้วยปาฏิหาริย์หรือบังเอิญก็ตาม นุ้ยได้ประสบอุบัติเหตุจากสกีจนทำให้มีอาการความจำเสื่อมชั่วคราว (TGA) โดยจะลืมเรื่องราว 3 ปีที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาการจะเป็นแค่วันเดียว
แค่วันเดียว … หรือตั้งวันนึง
ตามเนื้อเรื่องก็คือเด่นชัยพยายามโกหกว่าเป็นแฟนนุ้ย (แน่นอนว่านุ้ยเองก็จำไม่ได้ แต่ก็ต้องจำยอมรับสภาพ) ในฝั่งของนุ้ยนั้นเด่นชัยก็เป็นแค่คนแปลกหน้า แต่ในฝั่งของเด่นชัยผู้หญิงตรงหน้าคือคนที่เขาฝันมานาน และโอกาสแบบนี้ทั้งชีวิตคงมีแค่ “วันเดียว” เป็นคำถามให้กับคนดูว่าวันหนึ่งถ้าเราเป็นแฟนกับคนที่แอบชอบได้
ความสุขใน 1 วัน เราจะเก็บเกี่ยวมันได้แค่ไหน ?
ความพยายามของเด่นชัยจะออกแนวไปทาง จีบสาวอย่างไรด้วยเวลาเพียงวันเดียวมากกว่า (อย่าลืมว่าสำหรับนุ้ยแล้วเขาคือคนแปลกหน้า) เนื้อเรื่องดำเนินไปค่อนข้างเร็ว หากคุณชอบหนังรักใส ๆ เรื่องนี้อาจไม่ค่อยตรงนัก แต่หนังเรื่องนี้สะท้อนความ Real ในโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่า
บทบาทของเต๋อที่เปลี่ยนไป
จากภาพลักษณ์เดิมที่เต๋อดูตลกและกวน ภาคนี้สิ่งที่หายไปคือความตลกก็ยังกวนเหมือนเดิม (ออกแนวกวนหน้าตายมากกว่า) บุคคลิกออกแนวผู้ชายขี้แพ้ ขี้อาย และไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เรื่องความรักที่มีให้กับนางเอกนั้นเกินร้อยจริง ๆ จนให้เผลออดด่าไม่ได้ว่า “ไอ้พระเอก” ส่วนฉากเรื่องนี้มีทั้ง
- ตลก
- ปลื้มปิติ
- โรแมนติก
- เศร้า (บางคนบอกร้องไห้ด้วย)
แต่สิ่งที่เต๋อสะท้อนออกมาในเรื่องก็คือ “ความจริงใจ” ของผู้ชายคนหนึ่งที่แอบรักผู้หญิงหมดใจ ในขณะที่สังคมรอบข้างเต็มไปด้วย “ความโกหก” มากกว่า … แล้วนายจะอยู่ได้ยังไงล่ะว้าาาา (ออกแนวเห็นใจ)
นอกจากการเชียร์ความรักของเด่นชัยและนุ้ย ซึ่งอันที่จริงไม่ได้ออกแนวเชียร์หรอก เป็นในลักษณะ “เห็นใจ” มากกว่า เพราะตัวละครแต่ละตัวก็มีภูมิหลังที่แตกต่างกันไป และสุดท้ายเรื่องราวจะจบลงเอยเช่นไรคงต้องไปติดตามกัน (ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่สปอย)
สรุปแล้ว “แฟนเดย์” ก็เป็นความรักในอีกแง่มุมหนึ่งนั่นเอง
การเลือกใช้เพลงโปรโมทภาพยนตร์อย่าง “วันหนึ่ง” ค่อนข้างซึ่งกินใจมาก แต่ในภาพยนตร์จริงกลับเลือกใช้เพลง “ฝันลำเอียง” แบบต้นฉบับได้อย่างถูกที่ถูกจังหวะ รวมถึงบรรยากาศของเรื่องก็มีฉากสวย ๆ ของทั้งฮกไกโดและซัปโปโรให้ดูกันอย่างไม่มีเบื่อ มีทั้งอารมณ์รักและเศร้าในตัวผสมผสานได้อย่างดีเยี่ยม … ซึ่งถึงแม้ว่าหนังจะยาวถึง 2 ชั่วโมง 16 นาที กลับให้ความรู้สึกว่ามัน “น้อยไป” ด้วยซ้ำ
สรุป
ให้คะแนน 7 เต็ม 10 ซึ่งอันที่จริงภาพยนตร์ทำออกมาได้ดีทีเดียว แต่ความคาดหวังในชื่อของ GTH (ตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นอะไรแล้วก็ช่าง) คาดหวังไว้ก่อนดูค่อนข้างสูงกว่านี้มาก
และสาขาที่ผมเลือกไปดูก็คือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สาขาเซ็นทรัลบางนา และเนื่องจากเป็นหนังขวัญใจมวลชน สำหรับใครที่สนใจอยากไปดูแต่กลัวรอบเต็ม หรือไม่เหลือที่นั่งดี ๆ ก็ลองเช็ครอบและซื้อตั๋วได้ผ่านแอปพลิเคชัน Major Movie Plus (สะดวกดีไม่ต้องต่อคิว) รวมถึงติดตามข้อมูลหนังใหม่ได้ผ่านเว็บไซต์ Major Cineplex