Obi เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่หลายคนพึ่งเคยได้ยินครั้งแรก สาเหตุที่ทีมงาน iReview.in.th เลือกรีวิวรุ่นนี้เพียงเพราะแค่อยาก “ลองของ” กับแบรนด์ที่เป็นสัญชาติอเมริกันแท้ ๆ โดยเป็นการรวบรวมมือดีไว้หลายคน ไม่ว่าจะเป็น John Sculley อดีต CEO ของ Apple (คนที่ไล่ Steve Jobs ออกนั่นเอง) หรือแม้กระทั่ง Satjiv Chahil อดีต CMO ของ Apple และ Palm รวมถึงคนเจ๋ง ๆ อีกหลายคนที่มาจากสาย Silicon Valley โดยตรงนั่นเอง
Obi Worldphone SF1
เอาล่ะ … ทีนี้มาเข้าเรื่องของสมาร์ทโฟนกัน และเนื่องจากเราเป็นเว็บไซต์ไอทีรีวิวซึ่งก็คงต้องขอข้ามเรื่องผู้บริหารไป (เพราะในฐานะผู้ใช้งานก็คงไม่ได้คิดจะไปลงทุนอะไรกับเขา) ถึงแม้ว่าจะมีประโยคอมตะเกิดขึ้นในหัวตลอดเวลา จากคนที่ Steve Jobs ชวนมาทำงานว่า
คุณอยากจะขายน้ำอัดลมไปตลอดชีวิต หรือจะมาเปลี่ยนโลกกับผม
จากนั้น John Sculley จึงเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Apple ในปี 1983 และไล่ Steve Jobs ออกในปี 1985 (ได้เปลี่ยนโลกสมใจเลยทีเดียว) ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้ในอินเตอร์เน็ต
ด้วยความที่เป็นการรวบรวมบุคคลากร, ที่ปรึกษา, ผู้บริหารอาวุโสสายไอทีสุดเจ๋งหลายคนมาไว้ด้วยกัน จึงทำให้สมาร์ทโฟนแบรนด์ Obi ถูกจับตาเป็นอย่างมากในต่างประเทศ (ว่าจะไปรอดหรือไม่) ส่วนแบรนด์นี้แบ่งออกเป็นสองรุ่นคือ Obi Worldphone SF1 และ Obi Worldphone SJ1.5 ที่มีวางจำหน่ายไปทั่วโลกในเวลาไล่เลี่ยกัน
สเปค | Obi Worldphone SF1
สำหรับตัวเครื่องที่ผมได้รับเป็นเครื่องรีวิว (ขออวดหน่อยว่าในไทยมีแค่สิบกว่าเครื่องเท่านั้นเอง) ดังนั้นสเปคจะสูงกว่าที่ขายจริงในเมืองไทยเล็กน้อย (คาดว่าด้วยราคาอาจสูงเกินไป) แต่สิ่งที่ต่างกันมีเพียงแค่ ROM 32 GB และ RAM 3 GB เท่านั้นเอง
- ระบบปฏิบัติการ Android 5.0.2 Lollipop
- หน้าจอ 5″ ความละเอียด Full HD (443 ppi) กระจก Gorilla Glass 4
- หน่วยประมวลผล Snapdragon 615 ความเร็ว 1.5 GHz 64-bit Octa-core
- แรม DDR3 ความจุ 2 GB
- รอม eMMC 4.5 ความจุ 16 GB (รองรับ MicroSD สูงสุด 64 GB)
- กล้องหลัง 13 MP พร้อมแฟลช LED
- กล้องหน้า 5 MP พร้อมแฟลช LED
- รองรับสองซิม (Micro SIM + Nano SIM)
- 3G (850/900/1900/2100 MHz)
- 4G (FDD B3 1800 MHz และ TDD B40 2300 MHz)
- เชื่อมต่อไร้สาย WiFi 802.11 a/b/g/n, Bluetooth 4.0
- รองรับเทคโนโลยี Quick Charge 1.0
- แบตเตอรี่ 3,000 mAh (ถอดไม่ได้)
- น้ำหนัก 147 กรัม
- ขนาด 146 x 74.8 x 8 มม.
- ขนาดตัวเครื่อง 146 x 74.8 x 8 มม.
ราคา 7,290 บาท จุดขายหลักที่ทางผู้ผลิตพูดถึงเหมือนจะเป็นเรื่อง “ดีไซน์” (ออกแบบใน San Francisco ทั้งหมด) และ “วัสดุ” (โลหะทั้งชิ้นแบบ Unibody) มากกว่าพวกสเปคหรือฟีเจอร์
ตัวกล่องทำได้ค่อนข้างสวยงาม (เรื่องปลั๊กที่ไม่แน่ใจว่าขายในเมืองไทยจะเป็นแบบไหน) ส่วนตัวที่ผมได้มาเป็นแบบ 2 แอมป์ สำหรับหูฟังนั้นไม่มีแถมมาเพราะเหตุผลใดก็ไม่อาจทราบได้ สำหรับผู้ที่จะซื้อคงต้องดูกล่องขายจริงอีกทีหนึ่ง (แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีเหมือนกัน)
วัสดุตัวเครื่องค่อนข้างแน่นต่างจากมือถือมักง่ายบางแบรนด์ (ขอเรียกแบบนี้แล้วกัน) ที่ไม่ใส่ใจในเรื่องงานประกอบเอาเสียเลย น้ำหนักตัวเครื่องของ SF1 ค่อนข้างหนักเล็กหน่อย อาจเป็นเพราะวัสดุและแบตเตอรี่ หากให้เปรียบเทียบก็ใกล้เคียงกับ iPhone 6s Plus นั่นเอง
ด้านหลังค่อนข้างสวยงามกลืนไปกับตัวเครื่อง เรียบเป็นระนาบเดียวกันแล้วที่สำคัญ “กล้องไม่นูน” จับแล้วให้ความรู้สึกที่ดีเป็นบ้า
หากมองจากด้านล่างจะเห็นลำโพง Dolby Audio ที่ให้คุณภาพเสียงแบบ Multi-channel แต่เท่าที่ฟังก็เฉย ๆ เสียงไม่ได้ดีอะไรเป็นพิเศษนัก เพียงแต่ว่าเวลาวางกับพื้นแล้วมันไม่อุดเสียงลำโพงเท่านั้นเอง ส่วนไมค์ทางผู้ผลิตบอกว่าเป็นแบบตัดเสียงรบกวนรอบข้าง
ด้านข้างของเครื่องเป็นแบบโค้งในทุกด้าน ยกเว้นด้านบนของเครื่องที่เป็นแบบหัวตัด
ด้านบนของเครื่องเป็นมุมเดียวที่ไม่โค้งตาม (เหมือนเอามีดมาตัด) มีช่องเสียบหูฟังและไมค์ตัวที่สอง
ส่วนด้านที่จะเป็นอีกหนึ่งมุมที่เหลือของเครื่อง เอาไว้สำหรับใส่เข็มดันซิมไม่มีอะไรพิเศษ
จริงอยู่ที่ SF1 จะรองรับสองซิม (Micro SIM + Nano SIM) แต่ถ้าหากคุณต้องการเพิ่ม MicroSD จำเป็นที่จะต้องสละช่อง Nano SIM ทิ้งไป (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเดี๋ยวนี้มือถือหลายเครื่องฮิตดีไซน์แบบนี้จัง)
ด้านหน้าของเครื่องเมื่อจับแล้วให้ความรู้สึกดี ถึงแม้ว่าอารมณ์มันจะคล้าย iPhone + Nokia Lumia ไปหน่อยก็ตาม (บางคนบอกคล้ายไอโฟนถูกฝังทั้งเป็นอยู่ข้างใน) เนื่องจากกระจกยกลอยที่สูงขึ้นมาประมาณ 0.2 มม. (เวลาโทรรู้สึกกดทับบริเวณหูด้วยขอบ่นหน่อย) ส่วนตัวเครื่องมีความหนา 7.8 มม. เมื่อรวมกันแล้วจึงได้อารมณ์เหมือนถือสมาร์ทโฟน 7.8 มม. ทั้งที่ความจริงมันหนารวมแล้ว 8 มม.
เวลาจับใช้งานจริงถือแล้วค่อนข้างถนัด ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป มีความบางในระดับยัดใส่กระเป๋าได้สบาย บวกกับวัสดุโลหะที่ให้ความรู้สึกพรีเมียมมากกว่าพลาสติก
ใช้งานจริง | Obi Worldphone SF1
ด้านสเปคและขนาดรวมถึงราคา ดูยังไงก็เหมือนจะเอามาแข่งกับ Xiaomi Mi 4i อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนหน้าจอปลดล็อคที่สะดุดตาแท้จริงแล้วคือ Life Speed UI ที่ครอบเอาไว้อีกทีหนึ่ง ซึ่งดูผิวเผินก็ทราบได้ทันทีว่าเกิดจากการออกแบบโดยคนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่อง “ศิลปะ” เป็นอย่างดี
แต่ทันทีที่ปลดล็อคก็ต้องตะลึง! เมื่อด้านในนั้นแทบไม่มีอะไรต่างไปจาก Vanilla Android เลยสักนิด (เรียบง่ายมาก) ส่วนเรื่องความลื่นน่าเสียดายที่อยู่ในเกณฑ์ที่ แย่มาก เมื่อเทียบกับ I-mobile IQ II ที่มีราคาเพียง 4,444 บาท และหน่วยประมวลผล Snapdragon 410 ยังเรียกได้ว่า “แพ้ขาดลอย” ส่วนแอปพลิเคชันที่พรีโหลดมาให้ ก็ตามภาพด้านบนครับ
ส่วนคะแนน AnTuTu ทำได้เพียง 30,697 คะแนน เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ตั้งใจมาชนอย่าง Mi4i ที่ทำคะแนนได้สูงลิ่วถึง 40,253 คะแนน (I-mobile IQ II ได้เพียงสองหมื่นคะแนน) สำหรับคะแนนระดับ SF1 นี้ก็เทียบได้กับพวก Wiko RIDGE ในตลาดบ้านเรานั่นเอง
ด้านกล้องและการใช้งานกล้องอยู่ในขั้น โฟกัสช้า และภาพที่ออกมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แน่นอนว่าอย่างน้อยคุณภาพก็ยังดีกว่า I-mobile IQ II (ฮา) ด้านผู้ผลิตได้บอกว่าใช้เซ็นเซอร์ของ Sony Exmor RS แต่คุณภาพนั้นไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าที่ควร
กล้องมีโหมดให้เล่นพอสมควรอย่าง IQ Camera ที่ทางบล็อคเกอร์ไทยชื่อดังอย่าง BACidea ให้ความเห็นว่าคล้ายกับของ I-mobile พอสมควร โดยทางทีมงานของ Obi กล่าวว่าเพราะเป็นไลเซนส์ของ Qualcomm ที่ร่วมมือกันอยู่
และเมื่อใช้ Snapdragon 615 จึงทำให้ได้คุณสมบัติติดมาอย่าง ReFocus (โฟกัสหลังถ่าย), Chroma Flash (กระจายแฟลชทั่วทั้งภาพ), OptiZoom (ซูมระยะไกลภาพไม่แตก)
กล้องหลัง | Obi Worldphone SF1
เมื่อถ่ายในสภาวะที่แสงเยอะ แล้วตั้งกล้องให้นิ่งพอสมควรภาพออกมาถือว่าดีเลย แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบปัญหาเรื่อง White Balance พอสมควร นอกจากนี้ยังมีหาเรื่องแสง Flare รวมถึงการถ่ายในที่มืดอีกด้วย
กล้องหน้า | Obi Worldphone SF1
มุมกล้องค่อนข้างแคบ แล้วก็ยังเจอปัญหาเรื่อง White Balance เหมือนเดิม (แต่ถ้าแสงดีมันก็ถ่ายสวยเหมือนกันนะ)
สรุป
เป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นที่ฉีกแหวกแนวออกจากจารีตเดิม การออกแบบเครื่องรวมถึง UI (เฉพาะหน้าจอล็อค) สวยงามสมกับเลือกใช้บริษัทชั้นนำออกแบบ นอกจากนี้ยังไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเท่าไหร่ นอกจากแบตเตอรี่ 3,000 mAh ที่เพียงพอต่อการใช้งานหนึ่งวัน รวมถึงเทคโนโลยี Quick Charge 1.0
Obi Worldphone SF1 ราคา 7,290 บาท โดยจะเริ่มจำหน่ายเฉพาะช่องทางออนไลน์ผ่าน Lazada ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป ส่วนศูนย์บริการนั้นผ่านทาง SVOA ครับ