ช่วงนี้กระแสการใช้งานแรงงานหุ่นมาแรง Robotto ที่เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าสนใจ เพราะราคาไม่เวอร์เกินไปและเป็นที่พูดถึงกันในวงกว้าง โดยหุ่นยนต์ของ Robotto จะแบ่งออกเป็น MiniBot, ProBot, EvoBot แต่ในวันนี้เราจะประเดิมด้วยการรีวิว Probot กันครับ
Robotto (โรบอทโตะ) เป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดอีกแบรนด์หนึ่งที่มีหน้าตาดูดี รวมถึงราคาที่ไม่แพงมากและมีมาตรฐานบริการหลังการขาย คุณสามารถซื้ออะไหล่เพิ่มเติมได้โดยที่ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ อุปกรณ์เสริม Robotto ProBot ในราคาถูก
คุณสมบัติ
- ทำความสะอาดปัดฝุ่น, ดูดฝุ่นและถูพื้นในเวลาเดียวกัน
- รีโมทคอนโทรล และระบบ Voice Operation ขณะทำความสะอาด เพื่อให้คุณทราบถึงการทำงาน
- ขนาดกะทัดรัด 27 ซม. x 7.6 ซม. สามารถมุดไปตามใต้โซฟาหรือเตียง ของคุณอย่างง่ายดาย
- โปรแกรมทำความสะอาดอัตโนมัติ 4 แบบ
- เซ็นเซอร์อัจฉริยะ Sensitive Bumper Sensor (กันกระแทก) และ Anti-Cliff Sensor (กันตกที่สูง)
- แบตเตอรี่ 1,200 มิลลิแอมป์ เหมาะกับการทำความสะอาดห้องขนาด 40-60 ตารางเมตร
- น้ำหนักเบา 1.2 กิโลกรัม
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- Robotto รุ่น ProBot สีขาว
- แปรงปัดฝุ่น 2 ชิ้น
- แผ่นกรองฝุ่นในเครื่อง 1 แผ่น
- ผ้าทำความสะอาดแบบซักได้ 1 แผ่น
- อุปกรณ์ชาร์จ
- แบตเตอรี่ 1,200 มิลลิแอมป์
- รีโมทคอนโทรล
- คู่มือการใช้งาน
- ใบรับประกันสินค้า 1 ปี
ตัวเครื่องเป็นสีขาวมุกดูสะอาดและทันสมัย มีปุ่มควบคุมที่ไม่ซับซ้อนมากด้านบน ผู้สูงอายุหรือเด็กในครอบครัวสามารถใช้งานได้ โดยไม่ต้องเรียนรู้อะไรมากนัก
แรกเริ่มต้องติดตั้งแปรงปัดฝุ่นสองชิ้นลงไปก่อน จากนั้นนำเอาผ้าทำความสะอาดแบบซักได้มาติดตั้ง (ตามคู่มือ) ส่วนเซ็นเซอร์กันตกมีทั้งหมด 3 จุด ตรงนี้สามารถปรับระดับได้ตามความสว่างของสีพื้นห้อง
ทดสอบการทำงานของเซ็นเซอร์กันตกจากพื้น ทำงานได้ดีเลยทีเดียวไม่มีพลาด หากใครเอาไปใช้แล้วไม่ได้ผลตามนี้ลองปรับระดับของเซ็นเซอร์ดูนะครับ เพราะว่าพื้นขาวหรือพื้นดำใช้ไม่เหมือนกัน
แกะตรงฝั่งนี้ออกจะเป็นช่องสำหรับแบตเตอรี่ครับ หากใช้งานไปหลาย ปีแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม ก็สามารถซื้อมาเปลี่ยนได้ด้วยตนเอง ราคาประมาณ 750 บาท (ถ้าเป็นบางแบรนด์แบตเตอรี่เป็นแบบฝังในตัว อาจต้องซื้อใหม่ทั้งเครื่องน่าเสียดายแย่)
ขั้นตอนการติดตั้งผ้าทำความสะอาดแบบซักได้ ซึ่งจะมีคลิปล็อคอยู่ด้านในอีกที
คลิปล็อคด้านในติดตั้งไม่ยากอย่างที่คิด และพอใช้ไปจนผ้าเริ่มดำก็แกะออกมาทำความสะอาดได้ หรืออาจเลือกใช้ผ้าเปียกแบบเช็ดแล้วทิ้ง (ของ Scott มีขายเป็นกล่องอยู่)
หลักการทำงานของ Robotto ProBot ไม่มีอะไรซับซ้อนมาก เริ่มจากแปรงปันฝุ่นทำการหมุนเอาฝุ่นเข้ามาในเครื่อง จากนั้นเครื่องดูดอากาศที่อยู่ตรงการก็จะทำการดูดฝุ่นเข้า (หลักการเหมือนเครื่องดูดฝุ่น) และผ้าเช็ดทำความสะอาดถูซ้ำอีกทีหนึ่ง
ตัวปรับระดับเซ็นเซอร์กันการตก อันนี้สามารถปรับความเข้มได้ทั้งหมด 4 ระดับ ค่อนข้างละเอียดกว่าแบรนด์อื่น (อ่านรายละเอียดเรื่องความแตกต่างในด้านความสว่างของพื้นได้ในคู่มือ)
ตัวเครื่องสามารถเช็ดล้างทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย (อย่าเอาไปล้างน้ำเป็นพอ)
มีถังดักฝุ่นพร้อมฟิลเตอร์อยู่ภายในสามารถเก็บได้ทั้งฝุ่นและขนสัตว์เลี้ยว
แผ่นกรองฝุ่นด้านในเครื่องอันนี้สามารถใช้งานกันได้ยาวนานเป็นปีเลยทีเดียว แต่ถ้าใครอยากเปลี่ยนหรือชำรุดก็สามารถซื้อแยกได้ครับ ราคาอยู่ที่ 450 บาท (สามชุด)
การชาร์จแบตเตอรี่สามารถเปิดจุกออกมาแล้วชาร์จได้ตามปกติ สะดวกดีครับเพราะอยู่บริเวณด้านบนของเครื่องเลย
ทดสอบใช้งานจริง
Robotto ProBot สามารถทำความสะอาดได้ 4 โหมด
- Spiral Mode สำหรับเลือกที่จะทำความสะอาดวนเฉพาะจุด
- Along the wall Mode เป็นการวิ่งทำความสะอาดมุมกำแพงรอบห้อง
- ZigZag Mode การทำงานในลักษณะเป็นตัว “Z”
- Random Mode สุ่มทำความสะอาดทั่วทั้งห้อง
แน่นอนว่าผมเลือกเป็น Random Mode ส่วนการทำงานของเครื่องจะเป็นรูปแบบวิ่งชนวัตถุแล้วจึงค่อยถอยออกมา (นึกถึงรถบัมพ์) ตรงนี้ข้อเสียสำหรับคนที่เก็บบ้านไม่สะอาดอาจกระทบเล็กน้อย ตรงที่หุ่นอาจวิ่งชนสารพัดขวดที่ตั้งเกะกะภายในบ้านเรา แต่ถ้าใครไม่ชอบการทำงานแบบนี้อาจต้องเลือกรุ่น EvoBot ที่เป็นเซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับก่อนชนแทน
หลังจากปล่อยให้วิ่งประมาณ 15 นาทีบนคอนโดขนาดห้อง Studio ที่กวาดบ้านไปแล้วรอบนึง ผลก็คือได้ฝุ่นและเส้นผมเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่เราคิดว่าเราทำความสะอาดได้ดีแล้วก็ยังมีฝุ่นหลงเหลืออยู่ ความรู้สึกเวลาเดินในบ้านไม่สากขาเหมือนทุกครั้ง
Robotto ProBot ราคาอยู่ที่ 4,900 บาท สั่งซื้อได้ที่ RobottoThailand หรือ Fanpage แต่ถ้าอยากไปสัมผัสตัวจริงก็เจอได้ที่ห้างเซนทรัลแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าสาขาชิดลม, ลาดพร้าว, ปิ่นเกล้า
ข้อดี
- ราคาไม่แพง
- ระบบถูพื้นภายในเครื่อง
- เซ็นเซอร์ตรวจจับการตก 4 ระดับ (Anti-Cliff Sensor)
- เครื่องเล็กเข้าใต้เตียงหรือตู้ได้ดี
- มีอะไหล่เสริมและบริการหลังการขายติดต่อง่าย
ข้อเสีย
- ไม่มีเซ็นเซอร์ตรวจวัตถุก่อนชน (Ultrasonic Sensor)
- ไม่มีระบบชาร์จอัตโนมัติ (Auto-Charging)
- ไม่มีระบบจำกัดบริเวณการทำงาน (Virtual Wall)
สรุป
ด้วยราคาไม่แพง อีกทั้งขนาดกะทัดรัดและคล่องตัวในการเข้าถึงซอกเล็กภายในบ้าน หุ่นยนต์ทำความสะอาดตัวนี้น่าจะครองใจมหาชนได้ไม่อยาก แต่ถ้าอยากได้ฟีเจอร์ที่สูงกว่าแนะนำเป็น EvoBot ดีกว่า (เดี๋ยวมีรีวิวอีกที) แต่อย่างไรเสียเรื่องการทำความสะอาด ก็สามารถทำหน้าที่ได้สมกับเป็น “หุ่นยนต์ทำความสะอาด” เลยทีเดียว … แถมด้วยความสามารถถูพื้นที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่น
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial