หลังจาก เก็บตกงานเปิดตัว Plantronics Voyager Edge และ Backbeat Fit ก็มีหลายคนถามมาเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องรีวิวในแฟนเพจของเรา ทีนี้ฤกษ์งามยามดีเลยถือโอกาสมารีวิว Plantronics Voyager Edge กันเสียเลย
Plantronics Voyager Edge ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 4,590 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ บริษัท ซิสเท็ม 2000 จำกัด ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หรือตามร้านขายอุปกรณ์เสริมชั้นนำใกล้บ้านท่าน
Voyager Edge ถูกออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android โดยเฉพาะ อีกทั้งยังได้มาตรฐาน MFi จาก Apple ซึ่งตัวนี้เองทาง Plantronics ใช้เวลาในการพัฒนาค่อนข้างนานจนออกมาเป็น Voyager Edge
สเปค Voyager Edge
- มาพร้อมเทคโนโลยี Bluetooth 4.0 ที่ประหยัดพลังงานแบบสูงสุด
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน NFC
- มีไมค์ในตัวถึง 3 ตัวช่วยตัดเสียงรบกวนได้อย่างแม่นยำ
- แถม Charging case ช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานถึง 16 ชั่วโมง
- เคลือบ Nano-coating ในการป้องกันความชื้นและการกัดกร่อนของกรด
- ฟีเจอร์ Voice commands สั่งงานด้วยเสียง
- มี Smart sensor ในตัวช่วยให้รับสายโดยอัตโนมัติทันทีที่สวมใส่ และเปลี่ยนโหมดไปยังการสนทนาด้วยมือถือโดยอัตโนมัติทันทีที่ถอดออก
- สามารถ Upgrade firmware ได้ด้วยตนเอง
- สนทนาได้ต่อเนื่องถึง 6 ชั่วโมง และรอรับสายนานถึง 7 วัน (ไม่รวมแบตเตอรี่จาก Charging case)
- น้ำหนักเพียง 9 กรัม
จุดเด่นของ Voyager Edge คือสามารถรองรับได้ถึง 10 ภาษา (น่าเสียดายที่ไม่มีภาษาไทย) มีคำสั่งรับสายด้วยเสียงรวมถึงเสียงจากระบบ เช่น ระยะเวลาแบตเตอรี่คงเหลือก็สามารถแจ้งได้เช่นกัน
อุปกรณ์ที่แถมมาภายในกล่อง
- Voyager Edge
- Charging case
- หูเจลขนาดเล็ก, กลาง, ใหญ่
- คลิปเสียบเข้ากับหูฟังพลาสติก
- หัวชาร์จในรถยนต์
- สาย Micro USB
- คู่มือผลิตภัณฑ์
สำหรับที่ชาร์จไฟบ้านจะเห็นได้ว่าไม่ได้แถมมาก็ไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะเรายังสามารถใช้ชาร์จผ่าน USB กับคอมพิวเตอร์หรือที่ชาร์จมือถือก็ยังได้ เดี๋ยวนี้ผมก็ไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่เช่นกันเพราะอุปกรณ์เหล่านี้มันใช้ร่วมกันได้เป็นมาตรฐานเดียวกันหมดแล้ว
การใช้งานก็ปกติทั่วไปใส่สบายเพราะมีน้ำหนักเพียงแค่ 9 กรัม พร้อมกับหูเจลที่ใส่สบาย (ตรงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คลิปเสียบเข้ากับหูฟังพลาสติกก็ได้) สีที่จำหน่ายมีทั้งดำ ขาว และเทา (แต่รู้สึกไทยจะไม่มีขายสีเทา)
รูปแบบปุ่มและการใช้งานต่าง ๆ ดูเหมือนจะปวดหัวแต่ใช้ 2-3 วันก็พอจะเดาได้ว่าปุ่มไหนเป็นปุ่มไหน
การออกแบบ
ดีไซน์ที่ทำมาดูแล้วล้ำค่าสูงราคา ใส่แล้วแลดูเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น เหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชายแต่ดูออกเป็นกึ่งทางการมากกว่า สำหรับคนใช้ครั้งแรกอาจจะไม่ชินดูเขิล ๆ กลัวจะมีใครมองแปลก ๆ ก็ไม่ต้องกังวลไปครับ (ตอนแรกผมก็เป็น) แต่พอใส่ไปซักพักเดี๋ยวก็ชินเหมือนเป็นอุปกรณ์หนึ่งในร่างกาย ไม่ต่างกับแหวนหรือกสร้อยซักเท่าไหร่ ช่วยเสริมบุคคลิกให้คุณดูสมาร์ทขึ้น
บลูทูธ (Bluetooth) 4.0 ที่ประหยัดพลังงานยิ่งกว่าเดิม
ตัวนี้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Bluetooth 4.0 เช่นเดียวกับ iPhone หรือสมาร์ทโฟนรุ่น TOP ของค่ายอื่น ข้อดีคือมันประหยัดไฟมาก ๆ ตรงนี้ต่างประเทศเคยวิจัยมาว่าหากเปิดทิ้งไว้ทั้งปีมันกินพลังงานแค่ถ่านก้อนเดียวเอง หรือก็คือ Bluetooth รุ่นเก่าใช้พลังงาน 1 หน่วยในขณะที่ Bluetooth รุ่นใหม่นี้ใช้พลังงานเพียงแค่ 0.01 ถึง 0.05 หน่วยเท่านั้นเอง (ขึ้นอยู่กับการใช้งาน)
ใช้งานได้ยาวนานกว่าแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนของคุณ
ในสมัยก่อนเท่าที่ผมจำได้เนี่ยหากเป็น Bluetooth Headset ตัวเล็ก ๆ แบบนี้จะสามารถใช้สนทนาได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องชาร์จใหม่ แถมระยะเวลาการรอรับสายก็อยู่ได้ไม่นาน Voyager Edge ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อึดอะไรเวอร์แต่ระยะเวลาสนทนาก็อยู่ที่ 6 ชั่วโมง (หากใช้ร่วมกับ Charging case จะเป็น 16 ชั่วโมง) และรอรับสายสนทนาได้ถึง 7 วัน (หากใช้ร่วมกับ Charging case จะเป็น 25 วัน)
สั่งงานด้วยเสียง (Voice commands) และตอบรับด้วยเสียง (Voice alerts)
การที่เราจะสั่งงานด้วยเสียง (Voice commands) โดยการกดปุ่มบน Voyager Edge แต่น่าเสียดายที่คำสั่งที่พูดได้มีไม่มากนัก เช่น เช็คแบตเตอรี่ สั่งเชื่อมต่ออุปกรณ์ และก็อะไรอื่นอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้เลย ส่วนตัวคาดหวังว่ามันน่าจะสั่งโทรหรือสั่งถามเวลาและสั่งงาน Siri อะไรได้พวกนี้มากกว่า (ผมอาจจะคาดหวังมากเกินไป)
นอกจากนี้การตอบรับด้วยเสียง (Voice alerts) ทันทีที่เชื่อมต่อ ทำการเปิดเครื่อง หรือกดถามตัวของ Voyager Edge ก็จะแจ้งมาว่าแบตเตอรี่ใช้ได้อีกกี่นาทีและมีกี่อุปกรณ์ในการเชื่อมต่อ หรือแม้กระทั่งสัญญาณเชื่อมต่อหลุด ฯลฯ
อ้อ … แล้วที่ลืมบอกไปก็คือ Voyager Edge รองรับการเชื่อมต่อพร้อมกันถึง 2 อุปกรณ์ด้วยกัน หมายความว่ายังไง? หมายความว่าหากเรามีสมาร์ทโฟนสองเครื่อง (อาจจะส่วนตัวเครื่องนึงและของบริษัทเครื่องนึง) เราสามารถเชื่อมต่อทั้งสองเข้ากับ Voyager Edge แล้วทีนี้เวลามีคนโทรเข้าไม่ว่าจะเครื่องไหนก็ตามเราสามารถใช้ Voyager Edge ตัวเดียวกันในการรับสายได้
เคสแบตเตอรี่สำรอง (Charging case) เอกลักษณ์ประจำรุ่น
ในการเดินทางแต่ละครั้งหากเราไม่ได้ใช้งาน Bluetooth Headset (ยกตัวอย่างนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ) เราก็จะเก็บมันไว้ในกระเป๋า แล้วทีนี้ก็กังวลว่าจะมีอะไรมาทับหักหรืออะไรพวกนี้ เราก็ต้องแยกช่องเก็บต่างหากซึ่งสำหรับ Voyager Edge อันนี้มีมาเป็นเคสเลยแข็งแรงมากแค่เสียบล็อคลงไปคือจบ
นอกจากนี้เองตัวเคสยังมีแบตเตอรี่สำรองตามชื่อเมื่อเอา Voyager Edge ก็จะชาร์จเข้าทันทีอัตโนมัติ (สะดวกดี) สามารถใช้ชาร์จได้ราวรอบครึ่งนิด ๆ จากเดิมสนทนา 6 ชั่วโมงทำให้กลายเป็น 16 ชั่วโมง และตัว Charging case เองก็สามารถชาร์จไฟผ่าน Micro USB ได้เหมือนกับ Voyager Edge ครับ
สิ่งที่ชอบถึงขั้นเซอร์ไพรส์ : สำหรับ Charging case ทำงานบนระบบสัมผัสแบบ 100% ทันทีที่มันสัมผัสกับผิวหนังมนุษย์ (พูดราวกับลูกสนิชสีทองในแฮร์รี่ พอตเตอร์เลย) ไม่ว่าจะฝั่งสัญลักษณ์ซ้ายหรือขวาก็ตามมันจะขึ้นไฟ LED แสดงสถานะแบตเตอรี่ทันทีครับ มหัศจรรย์มาก ๆ แถมทำงานตลอดเวลาอีกต่างหาก แตะปุ๊บโชว์ปั๊บเลย แต่ถ้าเป็นวัตถุอื่นไปโดนเข้ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ
ถึงแม้จะดูดีแต่ข้อติตรงนี้ก็ยังมีอยู่คือ “ไม่มีปุ่มเปิดปิด” หมายความว่าทันทีที่ Charging case สัมผัสกับ Voyager Edge ก็คือชาร์จเลยไม่มีทางเลือกให้ลูกค้าแต่อย่างใด
ระดับแบตเตอรี่จะแสดงแยกทั้งตัว Charging case และ Voyager Edge ทันทีที่สัมผัส มองจากสัญลักษณ์แล้วดูง่ายดีแต่น่าจะแสดงผลซัก 4 ระดับกำลังดี
รอบข้างโดยรอบเป็นยางเข้าใจว่าออกแบบมาเพื่อซับแรงกระแทกด้วย ส่วนตรงปลายเป็นที่คล้องอเนกประสงค์ ด้านล่างเป็นแบบเรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษครับ
มี NFC คงได้ใช้กับเขาซักที (นะ)
NFC คือ Near Field Communication ระบบการเชื่อมต่อที่จะเป็นอนาคต ในส่วนทางเทคนิดผมคงไม่เจาะลึกมาก แต่การใช้งานก็คือการนำชิปที่อยู่ภายในสองส่วนมาสัมผัสกัน (RFID) เพื่อยืนยันข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องเปิดแต่อย่างใดด้วยระยะห่างไม่เกิน 4 มิลลิเมตร
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เวลาซื้อสมาร์ทโฟนจะเน้นสเปคและการรองรับอนาคตเป็นหลัก (เคยซื้อมือถือรอ 3G ในขณะที่ไทยยังไม่เปิดให้บริการจนเครื่องมันเจ๊ง) และ NFC ก็เช่นเดียวกันเท่าที่ซื้อมายังหาอุปกรณ์ใช้ด้วยไม่ค่อยได้เลย พวกที่เป็นลำโพงก็ดันมีราคาสูงเกินไป ครั้นจะเอาไปใช้กับร้านค้าก็ยังไม่มีที่ไหนรับ ส่วนพวกขนส่งมวลชนอย่าง BTS ก็ดันวุ่นวายเกินกว่าจะใช้งาน (ต้องใช้ซิม AIS และเครื่อง Samsung เท่านั้น)
คราวนี้ก็มีโอกาสได้ใช้กับ Voyager Edge นี่แหล่ะ ไม่จำเป็นต้องเปิด Bluetooth ไม่ต้องค้นหาสัญญาณหรือ Pair ให้วุ่นวายเพียงแค่นำไปแตะกับสมาร์ทโฟนที่มี NFC เป็นอันเรียบร้อยพร้อมใช้งาน ง่ายไหมล่ะ?
เมื่อนำไปสัมผัสกับสมาร์ทโฟนจะขึ้นให้ยืนยันครับว่าคุณต้องการที่จะ Pair หรือไม่? ก็ตอบ Yes ไปครับ อันนี้ไม่สามารถใช้กับ iPhone ทุกรุ่นได้นะเพราะมันไม่มี NFC หากใครอยากรู้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นไหนมี NFC บ้างก็ศึกษารายละเอียดกับคนขายได้เลย แต่ส่วนมากรุ่นแพง ๆ จะมีกันหมดแล้ว
ทดสอบใช้งานจริง
Voyager Edge สวมใส่ได้ง่ายมากจากการใช้งานทั้งวันก็ไม่มีหลุด ไมค์ตัดเสียงรบกวนสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี เท่านี้ไม่พอยังรองรับ HD Voice อีกด้วย (ถ้าจำไม่ผิดมีแค่สองเครื่องข่ายที่รองรับคือ Dtac และ AIS) แต่อันนี้คงไม่สามารถทดสอบให้ได้เหมือนกันว่ามันเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะ iPhone ก็รองรับ HD Voice ซึ่งผมยังมองไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง
การใช้งานร่วมกับ Android ที่มี NFC ช่วยให้ชีวิตการใช้งานง่ายขึ้นเพียงแค่ “แตะ”
เมื่อมีสายเข้ามาก็สามารถรับได้ด้วยการพูดว่า “Answer” หรือไม่อยากรับก็พูดว่า “Ignore” (พูดให้ชัด ๆ หน่อยนะครับ) โดยตัว Voyager Edge สามารถบอกรายชื่อคนโทรเข้าได้เลย แต่น่าเสียดายที่หล่อนพูดเร็วมากจนผมฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกันว่าใครเป็นใคร (ต้องบันทึกชื่อเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นนะครับ)
โดยรวมแล้วสามารถใช้งานได้คล่องตัวดี เท่าที่ทดสอบดูคู่สนทนาได้ยินเสียงชัดมากถึงแม้อยู่ในสภาวะริมถนนก็ตาม หากให้เปรียบเทียบก็คุณภาพดีพอ ๆ กับระบบตัดเสียงรบกวนของ iPhone เลยทีเดียว ดีถึงขนาดที่ว่านั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมฯ เปิดเพลงฟังไปด้วยก็สามารถคุยกับลูกค้าได้โดยที่ลูกค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราฟังเพลงอยู่ โดยรวมแล้วประทับใจครับ
ส่วนอีกฟีเจอร์ที่ชอบก็จะเป็น Smart sensor สำหรับคนที่ไม่ชอบใส่ไว้ตลอดเวลาก็วางไว้ที่โต๊ะก็ได้ครับ เวลาคนโทรเข้ามาค่อยเอา Voyager Edge มาเสียบหูไม่จำเป็นต้องเสียงคาไว้ตลอดเวลา หรือถ้าอยากรับด้วยสมาร์ทโฟน (ยกตัวอย่างเช่นการส่งให้เพื่อนคุย) ก็เพียงแค่ดึง Voyager Edge ออกจากหูเพียงเท่านี้ก็จะเป็นการสลับโหมดไปเป็นการสนทนาด้วยสมาร์ทโฟนอัตโนมัติ
สำหรับคนใช้งาน iPhone ไม่มี NFC ก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะถ้าใช้ iPhone สามารถเช็คปริมาณแบตเตอรี่ได้เลยผ่านทาง Status bar ดังภาพด้านบนข้าง ๆ กับสัญลักษณ์ Bluetooth ไม่จำเป็นต้องลงแอปฯ อะไรเพิ่มครับ (แต่ถ้าเป็น Android ต้องลง Widget เพิ่ม)
หากเมื่อทำการ Pair เรียบร้อยเมื่อคนโทรเข้ามาจะมีสัญลักษณ์แบบนี้ครับ และริงโทนก็จะดังทั้งที่ตัวสมาร์ทโฟนพร้อมกับบอกรายชื่อคนโทรเข้าผ่าน Voyager Edge ของเราด้วยเลย
ทีนี้มาดูในฝั่ง iPhone ก็ไม่ได้แตกต่างกันมีการแจ้งรายชื่อคนโทรเข้าตามปกติ ซึ่งตอนที่ Pair ครั้งแรกตัวเครื่องจะแจ้งขอเข้าถึงรายชื่อทั้งหมดของ iPhone เราครับ
VDO โฆษณาสาธิตการใช้งานคร่าว ๆ จากทางผู้ผลิต
ข้อดี
- ไมค์ตัดเสียงรบกวนถึง 3 ตัว
- รองรับ NFC และ Bluetooth 4.0
- แถม Charging case ช่วยให้ใช้งานได้ยาวนานถึง 16 ชั่วโมง
- มี Smart sensor ในตัวช่วยให้รับสายโดยอัตโนมัติทันทีที่สวมใส่
ข้อเสีย
- มีแอปฯ รองรับเยอะ แต่ใช้งานไม่ได้หรือไม่เหมาะกับบ้านเรา
- คำสั่งด้วยเสียงยังรองรับไม่เยอะนัก
- ราคาสูง
สรุป
ด้วยประสบการณ์ที่ได้ถึงว่าค่อนข้างสมบูรณ์แบบในการใช้งานเลยทีเดียว ส่วนตัวประทับใจมากกับ Charging case (ถึงแม้มันจะไม่มีปุ่มปิดให้ก็ตาม) แล้วก็ Smart sensor ที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน การใช้งานพื้นฐานอย่างสนทนาก็ตอบโจทย์ได้เยี่ยมเลยทีเดียว หากให้ติหน่อยก็คงเป็นเรื่องราคาที่แอบสูงไปนิด แต่ก็อย่างว่าแหล่ะเคสมือถืออันละพันเรายังจ่ายได้ แล้วทำไมบลูทูธอันละสี่พันจะจ่ายไม่ได้?