Wiko U FEEL และ U FEEL LITE เป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ที่มาพร้อมกับความคุ้มค่า และระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด Android 6.0 Marshmallow สแกนลายนิ้วมือ หน้าจอใหญ่ ด้วยสเปคจัดเต็มในราคาที่สวนทาง จึงไม่แปลกที่จะเป็นที่ถูกพูดถึงกันบ่อยมากตามอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่เว็บบอร์ดอย่าง Pantip เองก็ตาม และวันนี้เราจะมาดูรีวิวกันกับทั้งสองรุ่นนี้
Wiko U FEEL และ U FEEL LITE
สมาร์ทโฟนสองเครื่องราคาประหยัดแบ่งออกเป็น Wiko U FEEL ราคา 5,990 บาท และ U FEEL LITE ราคา 4,590 บาท ซึ่งทั้งสองรุ่นนั้นฟีเจอร์เกือบทั้งหมดจะเหมือนกัน มีแตกต่างกันเพียงแค่สเปคภายในเล็กน้อย และแน่นอนว่า Wiko ก็ไม่กั๊กสเปคแต่อย่างใด แต่จัดให้กับ Android 6.0 Marshmallow รุ่นใหม่ล่าสุดทั้งสองเครื่อง
- ระบบปฏิบัติการ : Android 6.0 Marshmallow
- หน้าจอ : IPS ขนาด 5 นิ้วความละเอียด HD กระจกโค้งแบบ 2.5D / กระจกแบน*
- หน่วยประมวลผล : MTK MP6735 1.3 Ghz Quadcore (4 Core) 64 Bit
- แรม : 2 GB / 3 GB*
- รอม : 16 GB / 32 GB*
- กล้องหลัง : 8 MP / 13 MP*
- กล้องหน้า : 5 MP (พร้อมแฟลชหน้า)
- เครือข่าย : สองซิม 4G LTE 900/1800/2100 MHz, 3G 850/900/2100 MHz
- แบตเตอรี่ : 2500 mAh
- รองรับสแกนลายนิ้วมือ
- รองรับ microSD สูงสุด 64 GB
ความแตกต่างกันระหว่างสองรุ่นนี้ก็จะมีเพียงแค่กระจกจอ, แรม, รอม, กล้องหลัง แล้วก็วัสดุอีกเล็กน้อยครับ
การใช้งานจริงทั้งสองรุ่นแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง หลัก ๆ ก็จะมีเพียงหน่วยความจำที่มากกว่า และกล้องหลังที่ละเอียดกว่าของ U FEEL แต่หากใครไม่ซีเรียสเลือก LITE ก็จะประหยัดได้อีก 1,400 บาท เป็นสมาร์ทโฟนเพียงไม่กี่รุ่นในตลาดที่ราคาไม่ถึงครึ่งหมื่น แต่ได้ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด รวมถึงฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือสุดล้ำแบบเดียวกับที่อยู่บนสมาร์ทโฟนหลักหมื่น
หากดูครั้งแรกบอกตามตรงว่าแยกไม่ออก (ซ้ายรุ่น U FEEL ปกติขวารุ่น LITE) ด้วยขนาดหน้าจอและน้ำหนักแทบไม่รู้สึกถึงความต่าง เว้นแต่กระจกหน้าจอของเครื่องฝั่งซ้ายที่โค้ง 2.5D อยู่ตรงมุม
พอพลิกกลับมาดูด้านหลังจะเห็นถึงความแตกต่าง ซึ่งรุ่น LITE จะมีพื้นผิวด้านบนและด้านล่างแตกต่างอย่างชัดเจน (ฝาหลังเป็นโลหะ) ส่วนรุ่น U FEEL ฝาหลังจะเป็นพลาสติกแบบบาง โดยจะไปเป็นโลหะที่บริเวณ “ขอบข้าง” ของตัวเครื่องแทน ให้ความรู้สึกที่แข็งแรงไม่แตกต่างกัน
5 เหตุผลที่ควรซื้อ Wiko U FEEL และ U FEEL LITE
เพื่อเป็นความสะดวกในการเปรียบเทียบเลือกซื้อสมาร์ทโฟน ทีมงาน iReview.in.th จึงขอสรุปจุดเด่นมาเป็นข้อ ๆ สำหรับทั้งสองรุ่น เพื่อที่จะได้ง่ายต่อการตัดสินใจดังนี้
1. มาพร้อม Android 6.0 จากโรงงาน
ในขณะที่หลายแบรนด์ลุ้นกันตัวโก่ง ว่าจะได้รับการอัปเดท Android 6.0 หรือไม่ ? (ตอนนี้หลายรุ่นยังไม่ได้เลย) จะดีกว่าไหมหากเราได้ซื้อเครื่องที่ได้ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดเลย ไม่เพียงแค่คุณสมบัติใหม่มากมายที่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่ารุ่นเก่า และระบบรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มเข้ามา
2. สองซิม เพิ่มเมมได้
ไม่เพียงแค่ความคุ้มค่าในเชิงราคาเครื่องเท่านั้น แต่การใช้งานระยะยาวมีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่อย่างค่า 4G/3G ในทุกเดือน และทุกค่ายมือถือในบ้านเราก็เน้น “ลูกค้าใหม่” เสียเป็นส่วนมาก การเลือกเปิดเบอร์ใหม่เพื่อรับโปรโมชั่นแล้วใช้แต่ 4G/3G ดูเหมือนจะคุ้มค่ากว่าการใช้กับเบอร์หลัก นอกจากนี้แล้วยังสามารถเพิ่มเมม (microSD) แยกอิสระได้โดยที่ไม่ต้องเบียดเบียนช่องใส่ซิม (SIM) เหมือนบางแบรนด์
3. รองรับ 4G และ 3G ทุกค่าย
ไม่ต้องเลือกอีกต่อไปว่าจะใช้กับเครือข่ายไหน และถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องราคาแค่ครึ่งหมื่น แต่อย่าคิดว่าจะรองรับเพียงแค่ 3G เพราะทั้ง Wiko U FEEL และ LITE รองรับ 4G LTE 900/1800/2100 MHz, H+/3G+/3G WCDMA 850/900/2100 MHz ครบทุกเครือข่ายในไทย FDD-LTE Category 4 ความเร็วสูงสุด 150 Mbps/50 Mbps ไม่ต้องกังวลเรื่องคลื่นไปอีกนานแสนนาน
4. มาครบจบในเครื่องเดียว
สมาร์ทโฟนบางแบรนด์ (อีกแล้ว) ถึงแม้จะมีราคาถูกไม่เกินหมื่น แต่ก็ลดต้นทุนด้วยการตัด “หูฟัง” รวมถึงบางสิ่งออกไป Wiko นอกจากจะมีราคาเครื่องที่คุ้มค่าแล้วยังมีการจัดเต็มด้าน “อุปกรณ์เสริม” ที่ให้มาครบทุกอย่าง แม้กระทั่ง “ฟิล์มกันรอย” และ “เคส” ซื้อครั้งเดียวจบไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหนอีกแล้ว นอกจากนี้ยังมีการเก็บรายละเอียดได้ดีไม่เว้นกระทั่ง “ถาดใส่ซิม” ที่ให้มาทุกแบบ
- Normal SIM
- Micro SIM
- Nano SIM
มาทั้งทีต้องครบแบบนี้สิ ถึงเรียกว่าเครื่องสุดคุ้มราคาประหยัดอย่างแท้จริง มีการเก็บอุปกรณ์เสริมทุกรายละเอียดไม่เว้นแม้กระทั่ง “ถาดใส่ซิม” หลากหลายขนาด สมแล้วที่เป็นแบรนด์จากประเทศฝรั่งเศส
5. รองรับสแกนลายนิ้วมือ
ลืมไปได้เลยสำหรับการกรอกรหัสเพื่อปลดล็อคสมาร์ทโฟน และไม่เพียงแค่สแกนลายนิ้วมือธรรมดาทั่วไป Wiko U FEEL และ LITE รองรับได้ถึง 5 ลายนิ้วมือ ด้วยเทคโนโลยีความเร็วในการสแกนเพียง 0.48 วินาที เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวก็พร้อมใช้งานลืมไปเลยกับการสแกนลายนิ้วมือแบบเก่า ที่ทั้งช้าและสแกนติดบ้างไม่ติดบ้าง นอกจากนี้ยังตั้งปุ่มลัดได้ถึง 5 ลายนิ้วมือ* (มีรีวิวเพิ่มเติม)
ประโยชน์ของสแกนลายนิ้วมือ
บางคนอาจคิดแค่ว่าสแกนลายนิ้วมือก็มีประโยชน์เพียงแค่ปลดล็อคหน้าจอ บางคนอาจใช้วิธีปลดล็อคด้วยการสไลด์เป็นชุดรูปแบบ (วิธีนี้พิสูจน์กันมาแล้วว่าไม่ปลอดภัย) แต่นอกจากการใช้ปลดล็อคหน้าจอด้วยระยะเวลา 0.48 วินาที แล้วยังสามารถตั้งค่าได้ถึง 5 ลายนิ้วมือ สำหรับทำปุ่มลัด App ต่าง ๆ เช่น นิ้วโป้งปลดล็อค, นิ้วชี้เปิดกล้อง, นิ้วโป้ง (อีกมือ) เปิดเครื่องคิดเลข, นิ้วชี้ (อีกมือ) กดโทรด่วน, ฯลฯ
นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย สามารถจำกัดการเข้าถึง App หรือข้อความ, รายชื่อ, ฯลฯ เปรียบเสมือนกุญแจห้องย่อยอีกสารพัดในบ้านของเรา เพื่อที่ว่าเผื่อบางทีการให้คนรู้จักยืมสมาร์ทโฟน (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่) จะได้ไม่สามารถเข้าถึงเรื่องส่วนตัวของเราได้ นอกจากนี้ยังมีอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ “หากมีใครพยายามปลดล็อคหลายครั้ง จะมีการแอบถ่ายรูปเก็บไว้แจ้งเราด้วย” ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว
ตัวอย่างการใช้งานสถานการณ์จริง
- ตั้งค่าปุ่มโทรไปเบอร์ด่วนระหว่างขับรถ โดยไม่ต้องมองหน้าจอ
- ตั้งค่าปุ่มเปิดกล้องเพื่อใช้ถ่ายรูปด่วน
- ตั้งค่าปุ่มเปิดเครื่องคิดเลข (เหมาะมากกับคนขายของ)
นอกจากนี้ปุ่มลัดยังสามารถตั้งค่าได้อีกมากมาย อย่างเช่นกดเปิด LINE โดยอัตโนมัติ หลังจากปลดล็อคหน้าจอ
UI ของ Wiko FEEL U และ LITE ทำออกมาได้ค่อนข้างสวยและทันสมัย มีความเป็นวัยรุ่นในตัวสูงด้วยสีสันสดใส การใช้งานจริงมีความลื่นไหลไม่ต่างอะไรจาก Pure Android แอปพลิเคชันที่ติดมากับเครื่องใช้งานได้จริง ไม่รู้สึกว่ามันรกหรือหน่วงเครื่องแต่อย่างใด (อันที่จริงมีอยู่ไม่กี่อัน)
ส่วนฟีเจอร์อย่าง Smart Actions ก็มีใส่มาให้ครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการ Double Tap หน้าจอสองทีเพื่อปลดล็อค, แตะปุ่ม Home สองครั้งเพื่อล็อคหน้าจอ, ฯลฯ และก็ยังมีฟีเจอร์เขียนจออย่าง Smart Gesture เพื่อสร้างปุ่มลัด App มาให้ใช้งานด้วย (แต่ใช้สแกนลายนิ้วมือสะดวกกว่าเยอะ)
แอปพลิเคชันกล้องมีลูกเล่นค่อนข้างเยอะ สามารถปรับแต่งได้เยอะประมาณหนึ่ง (แต่ไม่สามารถปรับรูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ได้) ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด Full HD 1080P ตามมาตรฐานสมาร์ทโฟนทั่วไป
ขนาดหน้าจอ 5 นิ้ว อยู่ในระดับที่ไม่หนาจนเกินไปสำหรับผู้หญิง ยังสามารถพกพาได้สะดวก รูปทรงของตัวเครื่องจะออกไปทาง “ยาว” มากกว่า “กว้าง” วัสดุด้านหลังช่วยให้ไม่ลื่นมือเวลาสัมผัส
กล้องหน้าของ Wiko ขึ้นชื่อในความเนียนฟรุ้งฟริ้งแบบไม่เวอร์จนเกินไป ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับ Selfie Flash (แสงออกนวลไม่เวอร์) สำหรับช่วยในการถ่ายภาพเซลฟี่ในที่มืด และแน่นอนว่ามาพร้อมกับความละเอียด 5 MP
กล้องหลังของ Wiko ทั้งสองรุ่นมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย ในส่วนของความละเอียดที่ได้ (ตามราคาที่จ่ายไป) ระหว่าง 8 MP และ 13 MP ซึ่งก็แล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้ ถ้าหากต้องการนำเอาภาพไปแต่งต่อก็เลือก 13 MP แต่ถ้าหากแค่ใช้อัปโหลด Social Network ดูเหมือน 8 MP ก็จะเพียงพอ
ตัวอย่างภาพด้านบนเป็นภาพจากไฟล์กล้องจริง บันทึกผ่านระบบ Auto Mode ไม่มีการปรับแต่งภาพใด ๆ ยกเว้นการย่อขนาด เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับชมบนเว็บไซต์เท่านั้น
สรุป
สมาร์ทโฟนสองรุ่นราคาประหยัด เน้นความคุ้มค่าอย่างแท้จริง การเก็บรายละเอียดทำได้สมบูรณ์สมกับเป็นแบรนด์จากฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับสเปคแบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก มีฟีเจอร์ชูโรงอย่าง รองรับสแกนลายนิ้วมือ ความเร็วสูง 0.48 วินาที สามารถตั้งเป็นปุ่มลัดแต่ละนิ้ว รวมถึงระบบรักษาความเป็นส่วนตัวเฉพาะ App
ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง Android 6.0 ที่ได้รับการปรับแต่ง ROM มาอย่างดีจากทาง Wiko ให้ความลื่นไหลไม่ต่างจาก Pure Android อีกทั้งยังมีหน้าตาที่สวยงาม ณ วินาทีนี้หากพูดถึงสมาร์ทโฟนช่วงราคาประมาณครึ่งหมื่น คงไม่มีใครสู้ Wiko ได้อีกแล้ว
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial