การ์ด SD ที่มี WiFi ในตัวหลายคนถามหากันมาบ้างพอสมควร เพราะการใช้งานในปัจจุบันใคร ๆ ต่างก็อยากแชร์ลง Social Network แต่กล้องที่มี WiFi ในตัวนั้นมีเพียงน้อยนิด (ที่สำคัญคือมันแพง)

Review-Toshiba-FlashAir (1)

Toshiba FlashAir Wireless LAN model W-02 คือ การ์ดสำหรับเสียบเข้ากับกล้องเพื่อที่จะให้สามารถส่ง WiFi ไปแชร์ต่อยัง SmartPhone, Tablet หรือ Notebook ได้ ความจุมี 8 GB, 16 GB และ 32 GB สำหรับราคาก็ประมาณ 990/1,290/1,990 ตามลำดับ

ส่วนการ์ดตัวนี้มีภาษีหน่อยตรงที่เป็น Class 10 ในทุกความจุ แถมยังเป็น Made in Japan อีกด้วย (โมเดลก่อนหน้านี้ไม่ใช่ W-02 เป็นแค่ Class 6 ตอนซื้อยังไงก็ดูดี ๆ แล้วกันครับ)

อุปกรณ์ใดใช้กับ FlashAir ได้บ้าง?

เบื้องต้นเชื่อว่าใช้ได้กับกล้องดิจิตอลทุกตัวบนโลกใบนี้ เนื่องจากการทำงานทั้งหมดมันอยู่ที่ตัวการ์ดเองไม่เกี่ยวกับกล้อง แต่ถ้าใครอยากเอามั่นใจไว้ก่อนก็ตรวจสอบ รายชื่อกล้องดิจิตอลที่รองรับอย่างเป็นทางการ

Review-Toshiba-FlashAir (2)

หน้าตาของการ์ด FlashAir ไม่มีอะไรพิเศษเหมือนกับ SD Card ทั่ว ๆ ไป การปล่อย WiFi จะทำงานอัตโนมัติเมื่อเปิดกล้องซึ่งมาตรฐาน WiFi ที่ปล่อยเป็น IEEE802.11b/g/n (2.4GHz SISO, 20MHz) เชื่อว่าสมาร์ทโฟนทุกเครื่องสามารถใช้งานได้

Review-Toshiba-FlashAir (3)

ทดสอบกับกล้องเก่า ๆ อย่าง Fujifilm อายุประมาณ 3 ปีของผมตัวนี้เป็น Low-End เลยก็ว่าได้เพราะซื้อมาสองพันกว่าบาท

Review-Toshiba-FlashAir (4)

จากนั้นตรวจสอบสัญญาณ WiFi จะขึ้นเป็นดังภาพนี้ (หรืออย่างน้อย ๆ ก็ใกล้เคียง) รหัสเข้าครั้งแรกคือ 12345678 (ไปเปลี่ยนเองทีหลังได้)

Review-Toshiba-FlashAir (5)

ขั้นตอนการใช้งาน

  • ดาวน์โหลด FlashAir สำหรับ Android
  • ดาวน์โหลด FlashAir สำหรับ iOS

สำหรับระบบปฏิบัติการอื่นไม่ต้องน้อยใจไป เพราะมันสามารถใช้งานผ่าน Browser ไปที่ http://flashair/ ของมือถือท่านได้เลยซึ่ง App มีไว้เพียงเพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น ตอนดาวน์โหลดอาจจะสังเกตได้ว่ามีหลายตัวให้เลือก สำหรับตัวที่เสียเงินผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันดีกว่ายังไง (ใครซื้อแล้วช่วยบอกด้วย)

Review-Toshiba-FlashAir (6)

เมื่อดูผ่าน App ในสมาร์ทโฟนจะเห็นรูปทั้งหมดในการ์ด (รวมถึงไฟล์อื่นด้วย) การตั้งค่าสามารถทำ Auto Reload เพื่อความรวดเร็วได้ รวมถึงกำหนดจุดบันทึกภาพ (ตำแหน่ง Folder ในสมาร์ทโฟน) หรือแม้กระทั่งแก้ไขชื่อและรหัสผ่าน SSID ฯลฯ

การทำงานทั้งหมดไม่จำเป็นต้องพึ่งคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่นิดเดียว เท่าที่ทดสอบดูแล้วตัว App ค่อนข้างฉลาดพอตัวสามารถสลับไประหว่าง WiFi และ 3G ได้ (ปกติเราจะเชื่อมต่อได้แค่ทีละอย่าง) ทำให้เวลาโอนถ่ายรูปเราใช้ WiFi เพื่อดึงรูปมาจากกล้อง พอปิด App ตัวเครื่องก็สลับไปเป็น 3G เพื่อให้สามารถอัพโหลดได้เลย ซึ่งมันก็สะดวกดีถึงแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบมากมายอะไร

หลายคนถามว่า FlashAir, Eye-Fi, Transcend ตัวไหนดีกว่า?

อันนี้ก็คงตอบไม่ได้เหมือนกันเพราะผมไม่เคยใช้อีกสองรุ่นที่เหลือ แต่เท่าที่เห็นมืออาชีพหลายคนก็เลือก Eye-Fi กัน (หรือไม่ก็เขาไม่เคยลอง FlashAir) แต่ก็มีหลายเสียงเหมือนกันที่บอก FlashAir ดีกว่าเพราะเลือกรูปได้ ฯลฯ อันนี้ก็ฟังเขามาอีกที

สรุปแล้วการใช้ FlashAir โดยรวมค่อนข้างประทับใจ อาจมีขัดใจไปบ้างก็จะเป็นที่เวลากล้องดับทุกอย่างจะดับตามไปด้วย แต่ถ้าเปิดกล้องตลอดเวลาก็เปลืองแบตเตอรี่อีกนั่นแหล่ะเรื่องของเรื่อง การโอนไฟล์แต่ละภาพไม่ถือว่าช้าแต่ก็ไม่เร็วอยู่ในหลักประมาณไม่กี่วินาทีพอรอได้อยู่

ข้อดี

  1. ใช้ง่ายไม่ยุ่งยาก
  2. ไม่จำเป็นต้องพึ่งคอมพิวเตอร์
  3. สะดวกสบายมี App รองรับ
  4. ใช้ได้กับทุกอุปกรณ์ผ่าน Browser

ข้อเสีย

  1. เปลืองแบตเตอรี่มากขึ้น (เพราะตอนโอนหรือดูไฟล์กล้องห้ามดับ)
  2. จ่ายแพงกว่า SD Card ธรรมดาประมาณเท่าตัว

สรุป

เหมาะสำหรับคนอยู่สตูดิโอหรือต้องโอนถ่ายรูปตลอดเวลา หรือหากเอาไปใช้ประกอบทริปเวลาไปท่องเที่ยวที่ไหน เพื่อความสะดวกสบายในการแชร์รูปลง Social Network พร้อมกันหลาย ๆ คน วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดแล้วครับ ไม่ต้องพึ่งคอมฯ ไม่ต้องต่อสาย ไม่ต้องพกพาอุปกรณ์อื่น