ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพียงสามพันกว่าบาท ก็เลือกซื้อสมาร์ตโฟนราคาถูก Infinix S5 เพื่อการใช้งานจริงจังได้ แถมยังมีประสิทธิภาพสูงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หน้าจอใหญ่ แบตเตอรี่อึด ได้กล้องหลัง 4 เลนส์ กล้องหน้า AI สร้างบรรทัดฐานใหม่ของสมาร์ทโฟน พร้อมกล้องเซลฟีคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ “ดีที่สุด” ในช่วงราคาเดียวกัน

Infinix S5

การขายทั้งหมดในตอนนี้จะผ่านออนไลน์ Lazada เท่านั้น (อนาคตอาจมีตามร้านมือถือ) โดยแบ่งสเปกออกเป็นสองรุ่นคือ Infinix S5 Lite (ราคา 3,590 บาท) และ Infinix S5 (ราคา 4,390 บาท) ซึ่งต่างกันเพียงแค่สเปกกล้อง RAM 4/6 GB และ ROM 64/128 GB ตามลำดับ และตัวที่เรารีวิวนี้ก็คือรุ่น S5 แต่หากใครใช้ไม่เยอะ S5 Lite ก็เพียงพอ

Infinix เป็นของประเทศอะไร ?

ที่ต้องเกริ่นทำความรู้จักกันก่อน เพราะหลายคนก็มักจะถามแบบเดียวกัน ในฐานะแบรนด์ที่ไม่ค่อยคุ้นหูในประเทศไทย แต่ความจริงแล้ว Infinix เป็นแบรนด์จากฮ่องกง ซึ่งมีบริษัทแม่คือ Transsion ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายหนึ่งของจีน ที่มีแบรนด์บริษัทลูกอย่าง TECNO, itel และ Infinix อันนี้จะเรียกว่าแบรนด์จีนหรือฮ่องกงก็สุดจะแล้วแต่ เพราะถึงอย่างไรสมาร์ตโฟนเกือบทั้งโลกก็ผลิตที่จีน ยังไม่นับรวมแบรนด์แนวหน้าของโลกอย่าง Huawei, Xiaomi, OPPO อันนี้ก็แบรนด์จีนแท้

ส่งซ่อมเครื่องไม่เกิน 7 วัน

Infinix ถึงแม้จะสัญชาติฮ่องกงและผลิตในจีน แต่ค่อนข้างขายดีเน้นไปที่ตะวันออกกลางและแอฟริกา เราจึงไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่นัก แต่อันที่จริงตอนนี้ก็ขายในไทยมาได้ปีกว่าแล้ว เริ่มต้นจากรุ่นราคาถูกเพื่อให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างก่อน ส่วนเรื่องบริการหลังการขายก็สบายใจได้ ถึงแม้จะไม่ได้มีศูนย์บริการมากมายอะไร แต่เขาใช้จุดนี้เป็นจุดแข็งด้วยการให้ Kerry ไปรับและส่งเครื่องถึงหน้าบ้านลูกค้า จากนั้นก็รอรับเครื่องไม่เกิน 7 วัน ซึ่งผมว่าแบบนี้มันก็สะดวกมากกว่าไปศูนย์ด้วยซ้ำ

อุปกรณ์ภายในกล่อง

  • ตัวเครื่อง Infinix S5
  • อะแดปเตอร์ 5V/2A
  • สายชาร์จ Micro USB
  • ฟิล์มกันรอย
  • เคสใสแบบยาง
  • หูฟัง 3.5 มม. แบบ In-Ear

สเปก | Infinix S5

  • ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie (ครอบทับด้วย XOS 5.5)
  • หน้าจอ Infinity-O 6.6″ ความละเอียด HD+ (1600 x 720 พิกเซล)
  • หน่วยประมวลผล Mediatek Helio P22
  • แรม 6 GB
  • รอม 128 GB (รองรับ microSD)
  • กล้องหลัง 16 + 5 + 2 + QVGA MP (f/1.8)
  • กล้องหน้า 32 MP (f/2.0)
  • รองรับ 4G ทั้งสองซิม (ไม่แชร์ร่วมกับ microSD)
  • แบตเตอรี่ 4,000 mAh
  • ขนาด 164 × 76 × 7.9 มม.
  • น้ำหนัก 176 กรัม

สีที่ขายก็มีตั้งแต่ Quetzal Cyan, Violet (ตัวที่รีวิว), Nebula Black ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากนก Quetzal ซึ่งเป็นนกที่มีชื่อเสียงในด้านสีที่โดดเด่น และตัวเครื่องของก็จะมีลวดลายลักษณะคล้ายกับขนนกซ่อนอยู่ และทาง Infinix ก็ได้ให้ทางดีไซน์เนอร์ฝรั่งเศสมาช่วยออกแบบ ทำให้สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่ของแบรนด์มีความเป็นแฟชั่นซ่อนอยู่ และไม่ซ้ำใคร

เนื่องจากเป็นสมาร์ตโฟนในกลุ่มเน้นความประหยัด-คุ้มค่ากับราคา พอร์ตจึงยังคงเป็น Micro USB แบบเก่า ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องปรับตัวมากนัก (แต่อาจเป็นข่าวร้ายสำหรับคนที่ใช้อุปกรณ์ USB-C) นอกจากนี้ยังคงมีพอร์ต 3.5 มม. ใช้ร่วมกับหูฟังปกติธรรมดาทั่วไปได้เลย ตัวเครื่องมีแถมหูฟัง มีแถมเคส มีแถมฟิล์มกันรอยมาให้ ผู้ใช้งานก็ไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเติมอีก

การควบคุมทั้งหมดจะอยู่บริเวณด้านขวามือ และด้านบนรวมถึงด้านซ้ายของเครื่องจะมีลักษณะโล่งไม่มีอะไรบดบัง และด้วยความที่ย้ายสแกนลายนิ้วมือมาไว้ด้านหลัง ทำให้เวลาใช้งานจริงไม่ต้องเผื่อพื้นที่หน้าจอให้เกะกะ บวกกับการเจาะรูกล้องบนหน้าจอ Infinity-O ทำให้ได้หน้าจอขนาด 6.6 นิ้ว แต่ตัวเครื่องยังเท่าเดิม และมีพื้นที่การแสดงผลถึง 90.5%

ในตลาดตอนนี้ Infinix S5 ถือว่าเป็นรุ่นนี้คุ้มค่าที่สุดหากเทียบช่วงราคาเดียวกัน และนับว่าเป็นสมาร์ตโฟนหน้าจอแสดงผลแบบ Punch Hole ที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย ในขนาดหน้าจอ 6.6 นิ้ว เหตุผลที่แบตเตอรี่ยังใช้งานได้นานเพราะความละเอียด HD+ ที่ประหยัดพลังงานเป็นอย่างสูง ส่วนกล้องหน้าที่ให้มาก็ไม่ได้ธรรมดาเพราะว่าเป็น AI Selfie 32 MP

กล้องหลังก็จัดเต็มตั้งแต่กล้องหลัก 16 MP สามารถถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง เก็บสิ่งที่เล็กที่สุดด้วยเลนส์มาโครในตัว มีกล้องที่ช่วยในการละลายฉากหลัง แถมยังมีระบบ AI ในตัวแยกต่างหากอีกด้วย ทำให้สามารถถ่ายรูปได้อย่างสนุกสนานด้วยราคาเพียง 4,390 บาท เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากที่สุดในช่วงราคานี้ เหมาะกับการใช้งานของผู้เริ่มต้นหรือนักเรียนทั่วไป

การใช้งานโดยรวมเครื่องไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป หากเป็นคนมือเล็กก็อาจจะใหญ่ไปสักเล็กน้อย (ใหญ่นิดหน่อยยังไม่ถึงขนาดพวกตระกูล Galaxy Note) สามารถจับได้ถนัดมือตัวเครื่องมีน้ำหนักเล็กน้อยจากแบตเตอรี่ แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดถือแล้วหนักข้อมือ ฝาหลังอาจลื่นและเป็นรอยนิ้วมือง่ายไปนิด แก้ไขได้ด้วยการใช้เคสที่แถมมากับเครื่องเป็นอันลงตัว

สำหรับคนที่ชอบดูหนังนิดหน่อย เล่นเกมทั่วไป ถ่ายภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน ถือว่าตอบโจทย์เลยทีเดียวจากหน้าจอขนาดใหญ่ หน่วยประมวลผลที่ไม่กินแบตเตอรี่และไม่ทำให้เครื่องร้อน ด้วยความละเอียดหน้าจอ HD+ การเล่นเกมจึงไม่หน่วงมาก แต่สำหรับคนที่ชอบเต็มตาเต็มอารมณ์แบบ Full HD อาจไม่ถูกใจในจุดนี้ แต่เชื่อเถอะว่าใช้งานจริงอารมณ์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากนัก ขนาดที่ว่า iPhone ความละเอียดไม่ถึง Full HD เรายังใช้งานกันได้แบบไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

ตัวเครื่องมาพร้อมแบตเตอร์รี่ขนาด 4000 mAh ที่มีระบบ AI ช่วยยืดอายุการใช้งาน หากทำงานร่วมกันแบบสมบูรณ์จะสามารถยืดอายุได้ถึง 3 วันตามโฆษณาเลยทีเดียว ซึ่งมันจะเรียนรู้ช่วงเวลาที่เราไม่ใช้งาน โดยจะทำการปิดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป แต่เอาเข้าจริง ๆ หากใช้งานทั่วไปแบบคนไทย แบตเตอรี่ก็อยู่ได้ประมาณวันกว่า ๆ ก็ไม่ได้ถือว่าขี้เหร่อะไรครับ

การถ่ายรูปจากเลนส์มุมกว้าง สามารถทำได้ดีประมาณหนึ่ง คุณภาพอยู่ในระดับพอใช้สมกับราคา หากต้องการถ่ายเน้นในสภาวะแสงแดดกลางแจ้งจะดีกว่า เนื่องจากกล้องมีรูรับแสงที่ค่อนข้างแคบ แต่หากเป็นเลนส์ปกติถึงแม้จะมีความละเอียด 16 MP แต่ก็สามารถถ่ายออกมาได้ดีเลยทีเดียว มีระบบ AI ที่ช่วยในการปรับแต่งกล้องและภาพ ให้ออกมาเหมาะกับรูป

การถ่ายภาพมาโครอันนี้ก็เป็นอีกจุดเด่นที่น่าสนใจ สามารถเปิดประสบการณ์ถ่ายรูปสุดแปลก ถ่ายได้ในระยะที่ใกล้สุด 2.5 ซม. จากตัวอย่างภาพด้านบนจะเห็นได้ว่าซูมได้กระทั่งรอยฟองน้ำ หรือแม้กระทั่งรอยบิ่นของเหรียญเลยทีเดียว เหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปมุมแปลก ๆ ของดอกไม้ แมลง ฯลฯ ทั้งนี้ก็จะเป็นเลนส์ที่หลายแบรนด์ไม่ค่อยนิยมใส่มากัน

กล้องหน้าความละเอียด 32 MP มาพร้อมกับคุณสมบัติ 3D Face Beauty สามารถเเลือกปรับความขาว ปรับโครงหน้า ดวงตา ฯลฯ ได้ตามสมัยนิยมหรือหากใครไม่ชอบตั้งค่า ก็มีโหมดอัตโนมัติให้เลือกถึง 4 ระดับด้วยกัน แต่เพื่อความสมจริงของรีวิวจึงขอลงภาพจากกล้องจริงดีกว่า คุณภาพการถ่ายในที่ร่มก็อยู่ในระดับที่พอใช้งานได้ เทียบกับราคาแล้วสมเหตุผล

กล้อง

โดยรวมแล้วกล้องของ Infinix S5 ทำออกมาได้น่าประทับใจดี ถึงแม้คุณภาพจะไม่ดีที่สุด แต่ต้องอย่าลืมว่านี่คือกล้องของสมาร์ตโฟราคา 3-4 พันกว่าบาท จะเอาไปเทียบกับหลักหมื่นก็คงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นัก แถมกล้องราคาหลักหมื่นบางแบรนด์ยังทำได้ไม่เท่านี้ ยิ่งนับรวมกับเลนส์ที่ให้มาแบบไม่งกถึง 4 เลนส์ด้วยกัน ก็นับว่าเป็นอะไรที่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งครับ

ระบบปฏิบัติการ

ตัวเครื่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie (ครอบทับด้วย XOS 5.5) มีการปรับแต่งเครื่องให้เหมาะกับการใช้งาน ลูกเล่นมาตรฐานมาครบแบบจัดเต็ม มีจุดขายตรงที่แผงอัจฉริยะที่ทำให้เราเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว (แต่ส่วนตัวคิดว่ามันรก) นอกจากนี้ก็มี Bloatware ติดมาเยอะไปหน่อย ต้องมานั่งไล่ลบกันภายหลัง แต่สำหรับบางคนอาจมองว่าสะดวกแทน

นอกจากนี้ก็จะมีพวกโหมดเกมที่ช่วยอำนวยความสะดวกระหว่างเล่นเกม มีโหมดที่แบ่งหน้าจอได้ตามสมัยนิยม สามารถแคสต์หน้าจอขึ้นทีวีได้อย่างสะดวก การจับภาพหน้าจอด้วยสามนิ้ว (มีเยอะมากรีวิวทั้งวันก็ไม่หมด) นอกจากนี้ยังมีโหมดพิเศษสำหรับปรับแต่ง WhatsApp ที่ต่างประเทศนิยมมาก แต่น่าเสียดายที่คนไทยเน้นหนักไปทาง LINE เสียมากกว่า

ตัวเครื่องมี RAM 6 GB เหลือให้ใช้จริงประมาณ 4.34 GB ก็ถือว่า XOS กินไปเยอะพอสมควร แต่ถึงอย่างไรก็สามารถเคลียร์แรมออกได้เรื่อย ๆ จากคำสั่งที่หาได้ทั่วไปในหน้า XOS ส่วนเรื่องของ ROM 128 GB เหลือให้ใช้จริง 114 GB อันนี้ก็เหลือเฟือให้ได้ใช้งาน แต่ถ้าใครอยากเก็บรูปเพิ่มไปอีกก็สามารถเพิ่มเติมผ่านทาง microSD ได้อีกช่องทางหนึ่ง

อีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจก็คือ “การถ่ายทอดเสียงอัจฉริยะ” อันนี้ผู้เขียนรีวิวเข้าใจว่ามันน่าจะอ่านให้เราฟัง ว่ามีใครโทรมาหรือส่งข้อความว่าอะไร นอกจากนี้ยังรองรับ WhatsApp และ Facebook เพิ่มเติมด้วย แต่น่าเสียดายตรงที่รองรับแค่ภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, และฮินดี ถ้าใครตั้งชื่อเป็นภาษาไทยก็กลายเป็นว่าไม่ได้ใช้คุณสมบัตินี้ไป แอบเสียดายเล็กน้อย

กล้องสามารถปรับแต่งได้หลากหลายตามสมัยนิยม มีให้เล่นอย่างละนิดละหน่อยพอเป็นน้ำจิ้มแก้เบื่อ ที่เด็ดและใช้งานจริงจะเป็นโหมดบิวตี้มากกว่า นอกนี้ก็จะมี AI CAM ในการช่วยเลือกการตั้งค่าให้เหมาะกับภาพ อีกทั้งยังมีการนำเอา AI มาใช้งานเพื่อช่วยในการปรับแต่งภาพละลายหลัง และการถ่ายวิดีโอก็ปรับอะไรไม่ได้เยอะ ทำได้เพียงเลือกเลนส์เท่านั้น

ข้อดี

  1. กล้องหลังสี่ตัว (AI Quad Camera)
  2. กล้องหน้า 32 MP (AI Camera)
  3. หน้าจอ Infinity-O ขนาด 6.6″ ใหญ่สุดในตลาด
  4. แบตเตอรี่ 4000mAh ใช้งานทั้งวัน
  5. มีเคสในตัว ติดฟิล์มมาจากโรงงาน
  6. คุ้มค่าราคาประหยัด
  7. รับและส่งซ่อมฟรีบ้าน

ข้อเสีย

  1. ยังคงเป็น Micro USB
  2. Bloatware ค่อนข้างเยอะ
  3. หน้าจอ HD+
  4. หน่วยประมวลผลไม่เหมาะกับเล่นเกมหนัก

สรุป

ตอนแรกเข้าใจว่าจะมีการตัดสเปกบางอย่างเพื่อให้ได้ราคาถูก แต่พอดู Wi-Fi ก็รองรับ 5 Ghz แถมยังได้ Bluetooth 5.0 ดีไซน์ไม่ขี้เหร่ จะมีข้อเสียเล็กหน่อยตรงที่หน้าจอ HD+ แต่ถึงอย่างไรก็มีข้อดีเรื่องประหยัดประหยัดแบตเตอรี่ ส่วนตัวคิดว่าได้ RAM 6 GB และ ROM 128 GB ก็ถือว่าเกินคุ้มแล้ว Infinix S5 เป็นสมาร์ตโฟนราคาประหยัด ที่ทำออกมาได้ดีสุดในตอนนี้ กรณีที่คุณมีงบประมาณเพียงแค่ 3-4 พันบาท รายละเอียดเพิ่มเติม

หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial