ย้อนไปสองปีที่แล้ว … จำได้ไหมว่า Huawei ได้ดึงบริษัทที่คนเล่นกล้องทุกคนต้องคุ้นชื่ออยู่แล้วอย่าง Leica มาร่วมพัฒนากล้องมือถือ และสองปีที่แล้วได้ส่งสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่น P9 ที่สร้างเสียงฮือฮาไปได้ไม่น้อยด้วยกล้องคู่ที่พัฒนาโดย Leica และคุณภาพรูปที่ได้ออกมาก็สมชื่อ Leica จริง ๆ มาในปีนี้ Huawei กำลังจะสร้างอีกหนึ่งความฮือฮาด้วยการส่งอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนเรือธง Huawei P20 Pro ที่ส่งกล้องอัดแน่นมาถึง 3 ด้วยกันในสมาร์ทโฟนเพียงแค่เครื่องเดียว คุ้มค่าแก่การเสียงเงินหรือไม่คุ้มมาดูกัน

Huawei P20 Pro
Huawei P20 Pro

สัมผัสแรก | Huawei P20 Pro

ก่อนอื่นขอพูดถึงแว้บแรกที่สบตากันกับ P20 Pro ก่อนเลยดีกว่า สิ่งที่สะดุดตาจนทำให้ละสายตาจากอย่างอื่นมาเพื่อมองต้องขอบอกว่าเป็นด้านหลังของตัวเครื่องที่มาในสีที่แปลกตาเหมือนไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน สีที่เราพูดถึงนี้คือสี Midnight Blue น้ำเงินอมม่วงหน่อย ๆ แต่นอกเหนือจากสีนี้ยังมี Twilight อีกสีหนึ่งที่ชวนมองไม่แพ้กัน ส่วนอีกสองสีจะเป็น Pink Gold กับ Black พูดถึงวัสดุที่ใช้ทำ P20 Pro ตัวนี้กันสักหน่อย เขาว่ามาว่าเป็นการใช้วัสดุแก้วไล่เฉดสีเป็นครั้งแรกของโลก แถมมาพร้อมกับแผ่นกระจกจอโค้งแบบ 3 มิติ

Huawei P20 Pro

ไหน ๆ ก็เข้าเรื่องบอดี้เข้าเรื่องบอดี้รูปร่างรูปทรงกันมาแล้ว ขอไปต่อที่เรื่องหน้าจอกันหน่อย ให้ทายว่าเทคโนโลยีล้ำ ๆ ของจอแสดงผล ณ ขณะนี้ต้องเป็นยังไง ? เฉลย… FullView Display 2.0 จอแสดงผลแบบ OLED 2240 x 1080 ขนาด 6.1 นิ้ว อัตราส่วน 18.7 ต่อ 9  มาแบบจอใหญ่สุดลูกหูลูกตา เบื้องต้นคิดว่าฟีเจอร์นี้ค่อนข้างถูกใจคอซีรีส์เป็นพิเศษ โหลด Netflix ไว้ในเครื่องทั้งทีก็อยากจะดูบนจอสมาร์ทโฟนแบบเต็มตาบ้าง Huawei เขาก็จัดมาให้แล้ว บวกกับแบตเตอรี่ที่มีความอึดถึง 4000 mAh แต่ถ้าอยากชาร์จเร็วกว่าเดิมต้องใช้สายชาร์จ Huawei SuperCharge

ด้านหลังเป็นกระจกสะท้อนแสง สี Midnight Blue เหลือบน้ำเงินหน่อย ๆ ชวนมอง โลโก้และ text ต่าง ๆ ที่เป็นของตัวแบรนด์ถูกจัดวางในลักษณะแนวนอน รวมถึงกล้องหลังทั้ง 3 ตัวด้วย

ด้านล่างมีพอร์ต USB Type C สำหรับซิงค์และเชื่อมต่อ PC รวมถีงเชื่อมต่อหูฟังด้วย เพราะรุ่นนี้ไม่ได้แถมช่องเสียบหูฟังมาด้วย ก็คือทุก ๆ อุปกรณ์ต้องต่อผ่านช่องนี้เพียงช่องเดียว

ด้านบนมีช่องปล่อยสัญญาณอินฟาเรดและไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน

ด้านซ้ายมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและปุ่มพาวเวอร์ แต่ปุ่มพาวเวอร์จะมีลักษณะแตกต่างจากปุ่มลดเสียงนิดนึง นั่นคือ ปุ่มพาวเวอร์จะมีขีดสีแดง ผิวสัมผัสแตกต่างกันทำให้กดง่ายไม่ต้องมอง กดไม่ผิดแน่นอนเพราะขนาดก็ต่างกันแล้ว

ส่วนด้านขวามีช่องเพียงช่องเดียวไว้สำหรับใส่ซิมการ์ด

ทีนี้ใครรำคาญใจกับติ่งด้านบนที่หน้าตาแบบ iPhone X ต้องขอบอกว่า Huawei เขามีฟังก์ชั่นที่สามารถกดปิดติ่งด้านบนให้เป็นจอเต็ม ๆ ไร้ติ่งได้ ถือเป็นฟังก์ชั่นที่ว้าวสุด ๆ ถึงแม้จะแอบเอะใจเบา ๆ ว่ามีไว้ทำไมกันนะ แต่ถ้ามองว่าเหมือนได้โทรศัพท์สองดีไซน์ในหนึ่งเครื่องก็พอไหว

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือการแชร์ไฟล์ระหว่างตัวสมาร์ทโฟนกันคอมพิวเตอร์ P20 Pro ตัวนี้มี Huawei Share 2.0 ถ่ายโอนไฟล์ในตัวเครื่องและภาพถ่ายที่อยากเก็บไว้ในคอมฯ ได้ทันที (ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องที่รองรับ Huawei Share) สำหรับใครที่กำลังลองเทสฟีเจอร์นี้อยู่ แล้วบ่นอุบเลยว่าไม่เห็นจะต่อได้อย่างที่ว่าเลย ราคาคุย! ลองเช็คสักนิด Huawei เขาแนะนำมาว่าอย่าลืมต่ออุปกรณ์ทั้งสองชิ้นต้องด้วย Wi-Fi ตัวเดียวกัน

พูดถึงระบบความปลอดภัยในการปลดล็อกเครื่องกันหน่อย ตัวนี้มีสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint) อันนี้แน่นอน สมาร์ทโฟนก็แทบจะออกแบบมาให้มีฟีเจอร์นี้กันทุกรุ่นแล้ว นอกเหนือจากสแกนลายนิ้วมือยังมีสแกนใบหน้า ที่ส่วนตัวรู้สึกว่าทำได้ดีกว่า iPhone X เพราะลองให้คนหน้าคล้ายมาปลดล็อกแล้วไม่ประสบความสำเร็จ

ว่าด้วยเรื่องกล้อง | Huawei P20 Pro

เรื่องนี้ไม่พูดถึงไม่ได้เลยเพราะ Huawei เขาชูโรงเรื่องกล้องมาโจ่งแจ้งมาก ๆ โดยสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงของ Huawei จะได้รับการพัฒนาในส่วนของกล้องจาก Leica บริษัทกล้องชื่อดังที่การันตีเรื่องคุณภาพของภาพได้ดีเยี่ยมเลย ทีนี้ตัว Huawei ตัวนี้ก็ค่อนข้างโดดเด่นในเรื่องกล้องเหมือนกัน อันดับแรกต้องบอกก่อนว่าได้รับการจัดอันดับจาก DXOMARK เว็บไซต์จัดอันดับกล้องสมาร์ทโฟนให้อยู่ในอันดับที่ดีที่สุดแจ่มที่สุดในบรรดาทุกรุ่น ณ ตอนนี้ คืออันดับที่ 109 การันตีกันขนาดนี้มาดูกันว่า P20 Pro เขามีกล้องกี่ตัว ความละเอียดเท่าไหร่ ซูมได้แค่ไหน

ช่วงก่อนหน้านี้สมาร์ทโฟนกล้องคู่ หรือ Dual Camera ค่อนข้างจะฮอตฮิตมาก ๆ และเรียกเสียงว้าวได้พอสมควร แต่คราวนี้ P20 Pro จะมาเรียกเสียงฮือฮามากกว่าด้วย Trio Camera จัดเต็ม 3 กล้องกันไปเลย ด้านหลังตัว RGB มีความละเอียด 40 ล้านพิกเซล ตามด้วย Monochrome 20 ล้านพิกเซล และปิดท้ายด้วย Tele อีก 8 ล้านพิกเซล

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เห็นทีจะเป็นเรื่องของซูม 5 เท่าโดยไม่แตก

ทั้งหมดทั้งมวลส่วนตัวชอบตัวกล้อง Monochrome มากที่สุด เพราะสีโหมดขาวดำที่ได้ออกมาละมุนกำลังดี อีกหนึ่งโหมดที่ชอบคือ Night Mode จากปกติที่หลาย ๆ รุ่นประสบปัญหาถ่ายกลางคืนไม่ได้ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ P20 Pro เขาจริง ๆ เพราะ Night Mode เขาโหดมาก ๆ นอกจากจะไม่มีปัญหาแม้แสงน้อยแล้ว ยังดึงสีออกมาได้สดใสกำลังดี บวกกับใส่ Sharp เองให้ภาพคมแบบไม่ต้องไปแต่งต่อในแอปแต่งรูป ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะว่า P20 Pro มีเซนเซอร์รูรับแสงที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนตัวอื่น ๆ ทำให้รับแสงได้มากขึ้น และโฟกัสภาพได้คมขึ้นด้วย

นอกเหนือจาก Night Mode แล้วยังมี 4D Predictive Focus โหมดนี้เหมาะสำหรับคนที่ออกไปถ่ายภาพกีฬาหรือภาพที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว เช่น ไปดูน้อง ๆ BNK48 เต้นก็นั่นล่ะครับ ตัวนี้จะช่วยคาดการณ์ได้ว่าจะขยับไปทางไหนอะไรยังไง (แต่ไม่ได้แม่นยำเท่าหมอดูนะ) คือตัวนี้สามารถคาดได้ว่าถ้าตัววัตถุที่เป็นคนกำลังวิ่งอยู่ เมื่อเรากดถ่าย กล้องจะมีการคำนวณให้ได้จังหวะที่จะจับภาพได้แบบไม่เบลอ

ต่อมาเป็น 3D Portrait Lighting จำลองใบหน้า 3D ตรวจจับโดย AI ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์กับใคร? ตอบก็คือ… เหมาะสำหรับทุก ๆ คนที่รักการเซลฟีเป็นพิเศษ จับจองโหมดนี้ไปเลย

กันสั่นของมันเทพมาก ขนาดยืนมือไม้สั่นอยู่ยังดูนิ่งได้

Slow Motion ทำได้ที่ 960 fps แม้คุณภาพยังไม่เจนจัดเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าพอใช้ได้เลยทีเดียว

ข้อดี vs ข้อเสีย | Huawei P20 Pro

ข้อดี 
  1. ชาร์จไฟไวมาก
  2. ถ่ายภาพสีขาวดำออกมาได้ดีมาก
  3. จับภาพในที่แสงน้อยได้ดีและคมชัดมาก ๆ ดึงสี ดึงความคมของรูปด้วย
  4. บอดี้ด้านหลังสีสวย โดยเฉพาะ Twiglight และ Midnight Blue
  5. ซูม 5 เท่าแบบไม่แตก
  6. แบตอึดใช้งานได้ทั้งวัน

ข้อเสีย

  1. บางรูป AI ค่อนข้างจะเพิ่มความคมชัดให้เองจนมากเกินไป
  2. Super Slow-motion เลือกช่วงทที่จะให้ Slow ไม่ได้
  3. ตัวเครื่องเป็นรอยง่าย

สรุป | Huawei P20 Pro

สำหรับใครที่เป็นแฟน Huawei และ Leica อยู่แล้ว P20 Pro ถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอยมากๆ นี่คือมือถือที่ใช้ถ่ายรูปจริงๆ ในทุกสถานะการณ์และทุกสภาพแสง ในส่วนของการใช้งานนั้นยังไม่ค่อยลื่นมาก หลายๆ อย่างยังคงมีขั้นตอนที่เยอะอยู่เช่นกว่าจะเข้าโมดกล้องแต่ละโหมดได้ ปาดไปมาหลายทีอยู่ ทำให้อาจจะพลาดเหตุการณ์ที่จะกดชัตเตอร์ไปบ้าง แต่ในเรื่องของคุณภาพรูปโดยรวมแล้วถือว่าสุดยอดครับ