การทำงานนอกสถานที่ในปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เพราะในกรุงเทพนั้นมี WiFi (ของเอกชน) ให้บริการค่อนข้างที่จะครอบคลุม รวมถึงราคา 3G ก็อยู่ในระดับที่จับต้องได้ คงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าหากเราจะออกไปทำงานนอกบ้านหรือนอกที่ทำงานเดิม ๆ ที่เราทำอยู่ทุกวัน

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (1)

Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) เปิดตัวมาได้พักนึงแล้ว ซึ่งหลาย ๆ คนก็เคยอ่านรีวิวจากที่อื่นหรือลองเล่นกันมาบ้างแล้ว เอาเป็นว่าวันนี้ผมจะไม่เชิงรีวิวข้อมูลล้วน ๆ เพราะเชื่อว่าหลายคนคงรู้แล้ว แต่เป็นการแบ่งปันประสบการณ์การใช้งานเสียมากกว่า

ซึ่งถ้าใครมี Lifestyle คล้าย ๆ ผมพออ่านเสร็จอาจจะกำเงินวิ่งไปซื้อเลยก็ได้นะ (ฮา)

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (2)

Mobile – Phablet – Tablet – Notebook – PC

5 สิ่งที่กล่าวมาด้านบนแทบจะเป็นอุปกรณ์เดียวกันเลย ซึ่งก็คือ “คอมพิวเตอร์” ถึงแม้จะถูกแบ่งแยกด้วยขนาดหน้าจอ, ระบบปฏิบัติการ หรือน้ำหนักก็ตามแต่ ซึ่งส่วนตัวบ้านผมมีทั้งหมดเลย (ซื้อมาทำไมเยอะแยะ = =) โดยอุปกรณ์แต่ละชนิดจะมีหน้าที่แตกต่างกันดังนี้

  • Mobile: ทำหน้าที่หลัก ๆ ก็คือโทรออกและรับสายครับ (จำเป็นสุด) บางทีก็ใช้มาเสพความบันเทิงระหว่างเดินทาง ข้อดีก็คือเล็กและเบาส่วนข้อเสียก็คือแบตเตอรี่หมดเร็วไปหน่อย และทำงานไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก
  • Phablet: เหมือนกับด้านบนแต่จอใหญ่ขึ้นมาอีกนิด และเกะกะนิดหน่อย (หลัง ๆ ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว)
  • Tablet: แต่ก่อนเคยคิดว่าไม่จำเป็น (เพราะมือถือก็ทำได้เหมือนกันเด๊ะ) แต่พอได้ซื้อมาใช้แล้วพบว่ามันโคตรจะแตกต่างครับ ไม่ว่าจะประสบการณ์ใช้งานบนหน้าจอที่ใหญ่กว่า หรือแบตเตอรี่พอสำหรับใช้งานสำหรับการเดินทางไกล ๆ และที่สำคัญคือถ้ามันแบตเตอรี่หมดก็ไม่เดือดร้อนเหมือนตอนมือถือแบตเตอรี่หมดด้วย
  • Notebook: เอาไว้สำหรับทำงานครับ ก็จำเป็นสุด ๆ เช่นกัน แต่ด้วยน้ำหนักและขนาดทำให้พกลำบากหน่อย
  • PC: อันนี้นอนอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว เว้นแต่วันไหนจะเล่นเกมเป็นเรื่องเป็นราว หรือตัดต่อทำอะไรที่ต้องใช้สเปคสูง ๆ

ทั้งหมดนี้คืออุปกรณ์ทั้งห้าของผม (ซึ่งจริง ๆ ตัดบางอย่างทิ้งไปบ้างก็ได้) และผมเคยคิดว่าซักวันนึง Tablet มันควรจะใช้ทำงานจริงจังหรือแทน Notebook ได้บ้าง

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (3)

มาทำงานนอกสถานที่ (กันเถอะ)

ความเชื่อฝังหัวคนทำงานหลาย ๆ คนเลย (รวมถึงคุณพี่สาวผมด้วย) คือ Tablet ไม่สามารถใช้ทำงานได้ เพราะมันไม่มี Mouse, Keyboard หรือโอนถ่ายไฟล์ไม่ได้เพราะมันไม่มี USB !!! ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยด้วยซ้ำ ทำให้ผมนึกถึงเวลาคนซื้อ Ultrabook แล้วถามหา DVD Drive ทั้งที่ความจริงเราใช้มันแค่ไม่กี่ครั้งต่อปี -*-

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (4)

Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) สามารถใช้ต่อกับ Mouse, Keyboard ได้ด้วยนะครับ (ผ่าน Bluetooth เวลาซื้อต้องสังเกตดี ๆ นะครับ อย่าเลือกตัวที่เป็น Wireless + Adapter มา) หรือถ้าใครอยากใช้ของ SAMSUNG เองก็จะมีขายเช่นเดียวกัน ประมาณ 1,990 บาท สำหรับ Keyboard ซึ่งก็ไม่แพงเลย

ส่วนตัวของผมในภาพเลือกชอง ZAAG มาใช้งานครับ เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า Keyboard Bluetooth สามารถใช้งานร่วมกับเจ้า Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) ได้

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (5)

เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลย (ใช้เป็นแท่นรองในตัวได้ด้วย) ทีนี้จะพิมพ์เมล์ยาวเป็นหางว่าวแค่ไหนก็ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (6)

ใช้งานจริง

พูดถึง Lifestyle ของผมแล้วบ่อยครั้งที่จะต้องเอางานมาเสนอลูกค้านอกสถานที่ โดยก่อนหน้านี้ก็แบก Notebook ไปมาเนี่ยแหล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแบกแล้วครับ ใช้ Tablet แค่ตัวเดียวก็อยู่แล้ว (ปกติผมพก Mobile & Tablet ติดตัวอยู่แล้ว การใส่ Notebook มาด้วยมันทำให้ผมเป็นบ้า = =)

พวกแก้ไขงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างรอลูกค้านี่ก็มีบ่อยครับ บางทีรีบมาก ๆ รถติดต้องมา BTS แล้วแก้งานบนนั้นเลยก็เคยมาแล้ว จนเดี๋ยวนี้พก Keyboard ติดตัวไปด้วยเลย จะแก้มากหรือแก้น้อยไม่ใช่ปัญหา

หลายคนสงสัยว่าแล้วมันจะทำงานสะดวกสู้ Notebook ได้จริงหรือ? ตรงนี้ขอตอบตามตรงเลยครับว่า “ไม่ได้” แต่ถ้าเป็นอะไรที่งานเล็ก ๆ อย่างทำ Presentation หรือหาข้อมูลตอบเมล์ลูกค้านี่ผมบอกเลยว่ามันไม่แตกต่าง เพราะ Office หลาย ๆ ตัวบน Android ก็ทำงานได้ดีไม่ต่างกัน

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (7)

สิ่งที่เหนือกว่า Notebook

ถ้าผมตอบว่าน้ำหนักหรือขนาดก็คงจำกำปั้นทุบดินเกินไป แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นเช่นนั้น ยังไม่รวมเรื่องแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่ามาก (เท่าที่ทดสอบผมนั่งทำงานยาวได้ถึง 9 ชั่วโมง) และยังสามารถต่อ 3G ได้ตลอดเวลา แถมยังมีกล้องไว้ใช้งานฉุกเฉินได้อีกด้วย ซึ่งกล้อง Notebook มันใช้ VDO Call ได้อย่างเดียว

ไม่ว่าใครจะคิดยังไงก็ตามแต่สำหรับผม Tablet มันเป็นอะไรที่ควรจะพกติดตัวอยู่แล้ว (เหมือนมือถือ) เนื่องจากมันใหญ่กว่าและดูข้อมูลได้สะดวกกว่า อย่างเช่น Google map หรือแม้กระทั่งเมล์ยาวเป็นหางว่าวที่ลูกค้าส่งมา

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (8)

สำหรับหุ้นก็ไม่พลาดเช่นกันผมเลือกใช้ i2Trade Plus ซึ่งมันทำงานได้ดีกว่าเมื่ออยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ อย่างผมนี่ทำงานเปิดไปหลายแอปฯ ก็ไม่ใช่อุปสรรค เพราะ Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) มี RAM ให้ใช้ถึง 3GB (มากกว่ามือถืออีก) ส่วน CPU เป็น Octa ที่มาพร้อมกับ Big Core 1.9GHz Quad-core + Little core 1.3 GHz Quad-core

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (9)

ปากกามหัศจรรย์ผู้สร้างสรรค์ทุกสิ่ง

ปากกา (Stylus) บน Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) หากหลายคนไม่ได้ติดตามก็คงคิดว่ามันเป็นเหมือนปากกาตลาดทั่ว ๆ ไป แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่นะครับ มันถูกพัฒนาโดย Wacom ผู้ผลิตปากกา (Stylus) สำหรับใช้บน PC ที่ดีที่สุดในโลก โดยปากกาสามารถรับแรงกดได้เหมือนกับเราเขียนลงบนกระดาษ (มีน้ำหนักเข้มหรืออ่อน) แถมยังมีความแม่นยำสูง

และยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่น Air Command ที่เพียงแค่วางปากกา S Pen (ชื่อเรียกของมัน) ไปวางไว้บนตัวเครื่องและกดปุ่มที่ปากกาก็จะเป็นการเรียกคำสั่ง Air Command ออกมาทันที โดยมันทำได้หลายอย่างอยู่เหมือนกัน เช่น การแปลงข้อความจากลายมือเป็นคำสั่งหรือตัวอักษร และมันฉลาดถึงขนาดลายมือไก่เขี่ยอย่างผมก็ยังอ่านออก

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (10)

อย่างในภาพนี้ผมวงกลมบน YouTube ที่ VDO จังหวะหนึ่ง (เนื่องจากผมต้องการภาพฉากนี้ไปทำงาน)

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (11)

จากนั้นสมุดบันทึกก็จะเด้งขึ้นมาทันที ซึ่งผมสามารถเขียนอะไรก็ได้และ Save เก็บเอาไว้ รวมถึงการติด TAG เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา ลองจินตนาการตามดูก็ได้ครับว่า “สมมุติเจ้านายอยากได้ไอเดียของที่ระลึกให้ลูกค้าในวันปีใหม่” เราก็เล่นเนตเหมือนชีวิตปกติแหล่ะครับ แต่ถ้าเจออะไรก็ดึง ๆ วง ๆ มาเก็บเอาไว้ได้ ไม่ต้องเปิด PC เพื่อเซฟรูปหรือ Capture เก็บไว้เลย

สิ่งที่อยากจะสื่อคือ “เราสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องนั่งโต๊ะเพื่อเปิดคอมฯ เป็นเรื่องเป็นราว” และการส่งไฟล์ก็ผ่าน Cloud เอาครับ เพราะของพวกนี้โหลดเร็วและไฟล์ไม่ใหญ่อยู่แล้ว อย่าง Dropbox ที่ทาง SAMSUNG ให้กับลูกค้า Galaxy ทุกคนถึง 50GB ก็เหลือล้นสำหรับการทำงาน (ใครไม่เคยขอให้ลองใช้ดูครับ เจ๋ง!)

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (12)

Multi Window สำหรับการทำงานขั้นสูง

จากการที่ Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) มี RAM ถึง 3GB ทำให้การทำงานที่ซับซ้อนกว่า Tablet ทั่ว ๆ ไปจึงได้เกิดขึ้น (และก็เป็น Tablet ของ SAMSUNG เท่านั้นในตอนนี้ที่ทำแบบนี้ได้) Multi Windows สามารถช่วยให้เราทำงานพร้อมกัน รวมถึงแสดงผลพร้อมกันสองหน้าจอ (ตามภาพ)

เช่นผมสามารถดูละครไปพร้อมกับทำงาน หรือตอนนี้ที่ผมกำลังทำคือเช็คราคามือถือเพื่อส่งให้เพื่อน โดยถ้าหากเป็นปกติเราต้องสลับหน้าจอไปมาพอเจอเบอร์เพื่อนลืมราคา และสลับมาดูราคาลืมเบอร์เพื่อน = =” และนี่คืออีกขีดข้อจำกัดของ Tablet ที่ Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) ได้ทำลายมันลง

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (13)

กล้อง 8MP ก็ถือว่าอยู่ในคุณภาพกลาง ๆ ไปถึงดีนิด ๆ และใช้หวังผลได้ (ถึงแม้กล้องมือถือหลาย ๆ รุ่นจะดีกว่าก็เถอะ) แต่การทำงานให้จบภายในเครื่อง ๆ เดียวนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ และหลายคนมองข้ามมันไป

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (14)

วัสดุและการประกอบ

หน้าตาของ Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) ดูเผิน ๆ จะเหมือนกับ Galaxy Note 3 ขนาดย่อส่วน ตัวเครื่องเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตทั้งตัว ด้านหลังดีไซน์ให้เหมือนซองหนัง สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายและทนต่อการขีดขูด

และซึ่งแม้จะเป็นสีขาวก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำความสะอาดยาก เพียงแค่เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ก็ออกแล้วครับ เท่าที่ลองใช้แบบสมบุกสมบันมานานพอสมควร เป็นการใช้งานแบบไม่ใส่เคสหรือซองและใช้งานวางโต๊ะและพื้นทั่ว ๆ ไปไม่ได้ถนอมอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีอาการเลอะหรือดำออกมาให้เห็น

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (19)

งานประกอบดูดีตามสมัย SAMSUNG ยุคใหม่และที่สำคัญเบาจนกระทั่งคืบด้วยสองนิ้วได้สบาย ๆ ถือแล้วไม่รู้สึกหนัก ส่วนหน้าจอก็มีความละเอียดถึง 2560 x 1600 pixels (299 ppi) ซึ่งมีความละเอียดสูงกว่ารุ่นเดิมมา ส่วนความหนานั้นอยู่ที่ 7.9 มม. พร้อม Infrared Port สำหรับใช้งานเป็นรีโมทเครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทุกชนิดได้ผ่านโปรแกรม Smart Remote (ดีจังซื้อ Tablet แถมรีโมทด้วย)

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (15)

ถึงแม้ Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) จะถูกออกแบบมาให้ใช้งานในแนวนอน แต่เราก็สามารถใช้งานมันในแนวตั้งได้อย่างสบายครับ รวมถึงการถือและการจับใช้งานจริงด้วย

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (16)

ขนาดนั้นถูกออกแบบมาอย่างดี หากคุณถือด้วยมือทั้งสองข้างก็จะพิมพ์ได้ง่ายมาก ๆ ส่วนความเร็วในการพิมพ์ของผมจะช้ากว่า Notebook ประมาณ 50% แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันพิมพ์ได้เร็วกว่ามือถือเสียอีก

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (17)

คีย์บอร์ดของ SAMSUNG นี่ผมชอบเป็นพิเศษ เพราะว่ามันสามารถแยกซ้ายและขวาได้ด้วย (เวลาพิมพ์แนวนอนมือจะได้เอื้อมถึง) ส่วน Twitter ถ้าเล่นบนแนวนอนผ่าน Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) จะได้ประสบการณ์ที่พิเศษไปอีกแบบ (ชอบการแบ่งหน้าแบบนี้มาก) ซึ่งถ้าจำไม่ผิดจะเป็นเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้นครับ

Review-Galaxy-note-10.1-2014-edition (18)

My Magazine คือจุดขายของ Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) เลยก็ว่าได้ จริง ๆ แล้วมันก็คือ Flipboard นั่นเอง (แอปฯ ตัวนี้ได้รางวัลเยอะมาก) แต่ถูกปรับแต่งให้เข้ากับ Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) ได้อย่างลงตัวซึ่งมันมีทั้งข้อมูลข่าวสาร, ข้อมูลส่วนตัว รวมถึง Social หลาย ๆ แหล่งมารวมเอาไว้ด้วยกัน (อย่างสวยงามและไม่ต้องเข้าแอปฯ อื่นอีกเลย)

วิธีใช้งานก็ง่าย ๆ ครับ ปาดนิ้วจากล่างสุดขึ้นข้างบนเป็นอันจบ ซึ่งอันนี้ต้องลองไปสัมผัสเองแล้วจะเข้าใจครับ

สุดท้าย : Galaxy Note 10.1 (2014 Edition) เปิดตัวที่ราคา 20,900 บาท หากใครสนใจก็ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่ หรือสั่งซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่าย SAMSUNG ใกล้บ้านท่านครับ

ข้อดี

  1. ใช้งานแทน Notebook ได้เลย สำหรับงานทั่ว ๆ ไป
  2. หน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 pixels (299 ppi)
  3. สเปคสูงสุดในบรรดา Tablet ในตลาด
  4. มาพร้อมฟังก์ชั่น Air Command และปากกา S Pen ที่ใช้งานได้จริง
  5. แบตเตอรี่ขนาด 8220 mAh ใช้งานอย่างหนักได้ถึง 9 ชั่วโมง
  6. รองรับ 3G ทุกเครือข่าย

ข้อเสีย

  1. ราคาพอกับมือถือแรง ๆ หรือ Notebook สเปคกลาง ๆ เครื่องนึง
  2. หากติดใจอาจต้องซื้อเพิ่ม Keyboard, Dock, Cable Display
  3. ไม่รองรับ NFC

สรุป

เป็น Tablet ที่จัดเต็มที่สุดเท่าที่จะหาได้ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความละเอียดจอ สเปค หรือแม้กระทั่งความจุ (แถมเพิ่มเมมได้อีก) ถ้าเอามาใช้งานแนะนำเป็นอย่างยิ่งครับ สิ่งที่อยากให้ทุกคนใช้จริง ๆ คือ S-Pen ที่หลายคนอาจคิดว่า “เอาไว้วาดรูป” แต่จริง ๆ แล้วมันมีความสามารถมากกว่านั้น แรก ๆ จะงงครับบอกตามตรงแต่ถ้าใช้เป็นแล้วผมเชื่อว่าการซื้อ Tablet ครั้งหน้าหลาย ๆ คนต้องถามหา S-Pen อย่างแน่นอน

หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial