ประเทศไทยเตรียมก้าวเข้าสู่โลกของการชำระเงินผ่านระบบดิจิตอลอย่างครบวงจร โดยมี “VISA PayWave” เป็นช่องทางสำคัญในการชำระเงินโดยเฉพาะสำหรับสินค้าบริโภคและบริการที่มีราคาย่อมเยา
“VISA PayWave” ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากธนาคารและร้านค้าชั้นนำ ที่นำเทคโนโลยีเข้าไปใช้ใน ระบบการชำระเงิน ซึ่งระบบเทคโนโลยีแบบไร้สัมผัสนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพียงแค่ “แตะ” หรือยื่นบัตรให้อยู่ในระยะใกล้กับเครื่องรับชำระเงินแบบไร้สัมผัสเท่านั้น โดยที่ไม่ต้องรูดบัตรหรือ ลงนามใดๆ และด้วยวิธีการใช้งานที่สะดวกและรวดเร็วจึงช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวชำระเงิน ทั้งยังสามารถ ทำธุรกรรม โดยไม่ต้องพกเงินสดได้สูงสุดถึง 1,500 บาท
“VISA PayWave” กำลังจะกลายเป็นช่องทางการชำระเงินพื้นฐานในชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องพกเงินสด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าและร้านค้าอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางการเติบโตของเทคโนโลยีการชำระเงินและโอกาสในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การชำระเงินของลูกค้าก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การ “แตะ” บัตรเท่านั้น แต่ยังคงมีช่องทางการ ชำระเงินรูปแบบใหม่ผ่านอุปกรณ์อื่นๆ อีกด้วย อาทิ สติ๊กเกอร์, Wristband และโทรศัพท์มือถือที่มีระบบ NFC ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจ่ายเงินได้โดยไม่ต้องยุ่งยากในการค้นหากระเป๋าเงิน
สำหรับวิวัฒนาการการชำระเงินในระบบดิจิตอลมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามอัตราการใช้ SmartPhone ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น การจัดเก็บข้อมูลสำคัญของบัตรของระบบ Could ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ในการชำระเงิน อาทิ เทคโนโลยีแบบไร้สัมผัส, การชำระเงินผ่านบัตร และธุรกิจออนไลน์ โดยทั้งหมดจะรวมกันกลายเป็นแอพพลิเคชั่นการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการชำระเงินสำหรับลูกค้าทุกท่าน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
การเติบโตของของการชำระเงินผ่านเทคโนโลยีดิจิตอล ได้ถูกขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคที่ต้องการความรวดเร็วและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมผ่านอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะ SmartPhone ที่มีส่วนเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยอย่างชัดเจน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้กลายเป็นศูนย์กลางด้านการชำระเงินผ่านระบบดิจิตอล โดยได้กลายเป็นผู้นำในตลาดโลกด้านเทคโนโลยีแบบไร้สัมผัส และสามารถได้ส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างรวดเร็ว และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“VISA PayWave” ไม่ได้จำกัดการใช้เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ปัจจุบันได้ขยายไปพื้นที่อื่นๆในประเทศไทยผ่านร้านค้ารายใหญ่และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ อาทิ Family Mart, Tesco Lotus และBig C
ปัจจุบัน “VISA PayWave” มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในประเทศไทย ซึ่งเห็นได้จากร้าน McDonald’s ซึ่งมีสาขาที่สามารถใช้ “VISA PayWave” มากกว่า 195 สาขา และมีอัตราของผู้ทำธุรกรรมผ่าน “VISA PayWave” เพิ่มขึ้น 260% สำหรับ Big C และ Tesco Lotus มีอัตราของผู้ทำธุรกรรมผ่าน “VISA PayWave” เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ในเดือนเดียวกัน
ประเทศไทยคล้ายกับสิงคโปร์เมื่อสองปีที่แล้ว และการใช้ “VISA PayWave” จะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยตัวเลขล่าสุดแสดงให้เห็นว่า การทำธุรกรรมการเงิน ณ จุดขายหรือแบบหน้าร้านในประเทศสิงคโปร์มาจากการทำธุรกรรมผ่าน “VISA PayWave” ถึง 20% (เมษายน 2557)
ปัจจุบันมีผู้ออกบัตร “VISA PayWave” ทั้งหมด 4 รายในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และเทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยอดการชำระเงินทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า “VISA PayWave” ได้รับการยอมรับเป็นที่แพร่หลาย นอกจากนี้ยอดการชำระเงินโดยรวมเพิ่มขึ้น 44% หรือคิดเป็น 306 บาทต่อธุรกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความมั่นใจที่จะใช้ “VISA PayWave” มากขึ้น ธนาคารต่างๆได้เริ่มมีผลิตภัณท์ของ “VISA PayWave” เป็นของตนเองและพร้อมที่จะนำออกมาเสนอให้เห็นกันในช่วงสิ้นปีนี้
“VISA PayWave คือก้าวแรกของแผนการทำงานของ VISA ที่มุ่งมั่นจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมรูปแบบใหม่มายังประเทศไทย ด้วยการยอมรับอย่างกว้างขวางของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือจึงแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยพร้อมที่จะก้าวข้ามไปสู่เทคโนโลยีการชำระเงินในรูปแบบของโทรศัพท์มือถือ ที่จะทำให้การชำระเงินกว้างไกลไป ทั่วประเทศได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น VISA ได้ร่วมลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆไปพร้อมกับพันธมิตรของเราทั้งธนาคาร สถาบันการเงิน และร้านค้า สรุปได้ว่าการพัฒนาการทั้งหมดนี้คือจะทำอย่างไรให้เทคโนโลยีการชำระเงินในรูปแบบดิจิตอลและนั่นรวมไปถึงการชำระเงินในรูปแบบไร้สัมผัส สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของผู้ถือบัตร VISA ได้อย่างไร้รอยต่อ” คุณสมบูรณ์ กล่าวเสริม
นอกจากนี้นวัตกรรมอื่นๆ ที่ VISA ได้ร่วมผลักดันกันสถาบันการเงินต่างๆ เช่น เทคโนโลยีการชำระเงินผ่าน SmartPhone และ Tablet อย่าง mobile point-of-sale (mPOS) ซึ่งช่วยให้ร้านค้าต่างๆไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็กสามารถรับการชำระเงินผ่านบัตรได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านเสื้อผ้าอินดี้ในตลาดนัดจตุจักรก็สามารถรับการชำระเงินได้ผ่านเครื่องรูดบัตรของ mPOS ที่เชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับ SmartPhone หรือ Tablet แต่ยังคงความรวดเร็วและรักษาระบบความปลอดภัยได้เสถียรเหมือนใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร้านค้าขนาดใหญ่หรือห้างสรรพสินค้า เพราะธุรกรรมต้องผ่าน VisaNet เครือข่ายประมวลและควบคุมการทำธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่รองรับการชำระเงินในแต่ละปีมากกว่า 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ