หลังจากงาน #Unpacked5 ก็ได้มีการจัดงานเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (สำหรับสื่อมวลชน) และในงานนี้ทีมไอรีวิวก็ไม่พลาดที่จะรวบรวมสรุปสิ่งที่น่าสนใจมาอย่างแน่นอน (ฟังความเห็นฝรั่งกันมาแล้วคราวนี้มาฟังความเห็นคนไทยกันบ้าง) ซึ่งในงานก็มีเปิดตัวพร้อมกันทีเดียวสำหรับ Galaxy S5, Gear 2 และ Gear Fit
ก่อนเริ่มเปิดตัวก็มีเสียงซุบซิบกันไปตามภาษา Blogger ด้วยกันว่าตัวนี้มันดียังไง มีข้อเสียอะไรกันบ้าง และสิ่งที่เหมือนกันทุกคนคืออยากที่จะลองสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง เพราะมันคือ Galaxy ตัวล่าสุดจากทาง Samsung นั่นเอง
5 สิ่งที่ทาง Samsung อยากจะนำเสนอในครั้งนี้ คือ
- สนุก ด้วยกล้อง (ที่เขาว่า) ดีที่สุด
- สบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่
- เต็มที่ กับชีวิต (น่าจะหมายถึงสงกรานต์นะ)
- เร็ว จากการดาวน์โหลด WiFi + 3G/4G
- ฟิต อยู่เสมอด้วย S-Health 3.0 และเซ็นเซอร์วัดหัวใจ
เห็นมั้ยครับว่าอะไรแปลก? ไม่มีการพูดถึงสเปคและความแรง (ที่ Samsung ชอบเอามาเป็นจุดขาย) อยู่อีกต่อไปแล้ว
กล้องสนุกอย่างไร? ทีนี้ทาง Samsung ได้คุยไว้ว่ากล้องใน Galaxy S5 สามารถโฟกัสได้วยด้วยความเร็ว 0.3 วินาที ถ้าหากเป็น Galaxy S4 จะเป็นความเร็ว 1 วินาที (ส่วนตัวคิดว่านานกว่านั้นเพราะ Galaxy S4 กล้องโคตรรรรรรช้าเลย) ส่วน คู่แข่ง ที่น่าจะหมายถึง Apple (รึเปล่า?) โฟกัสอยู่ที่ 0.8 วินาที
เรื่องนี้ขอไม่ออกความเห็นครับ เพราะส่วนตัวใช้ iPhone 5 คิดว่ามันเปิดหน้ากล้องได้เร็วและโฟกัสได้ไวมากจนถึงขึ้นประทับใจอยู่แล้ว ส่วนทาง Galaxy S5 จะทำได้สมกับที่คุยไว้หรือเปล่าคงต้องลองรีวิวกันอีกที
ทาง Samsung บอกว่านี่คือกล้องที่ดีที่สุดด้วย Real-time HDR (Rich Tone) ทำให้เห็นก่อนถ่ายด้วยซ้ำว่าภาพมันจะดีขึ้นอย่างไร
ตรงนี้มีการทดสอบกันให้ดูจะ ๆ ตรงหน้าจอ ทีมงานตรงกลางภาพกำลังถือกล้องเพื่อจับภาพโดยที่แสดงหน้าจอออกไปที่จอข้าง ๆ ด้วย จะเห็นได้ว่าภาพบนจอนั้นมีสีสันที่สดสมจริงในขณะที่หน้าของคนที่ยืนอยู่นั้นไม่มืดตามไปด้วย
ตรงนี้สามารถถ่ายให้เป็นชัดตื้นได้ (หน้าชัดหลังเบลอ) เนื่องจากกล้องมันเร็วมากเวลาเราถ่ายหนึ่งครั้งกล้องจะทำสำเนาหลายฉบับเป็นลักษะ Layer ทำให้สามารถมาเลือกโฟกัสทีหลังก็ได้
อันนี้ผมไม่ได้ลองนะ แต่เท่าที่ต่างประเทศวิจารณ์กันเห็นเขาว่าไม่ค่อยดีนัก
อันนี้น่าจะประมาณว่าไม่ต้องเลือกโหมดกล้อง (Drama shot, Best Face, Best Photo, Eraser และ Panning Shot) อารมณ์ประมาณว่าถ่ายไปก่อนเลือกทีหลัง
ส่วนตัวคิดว่าโหมดนี้ต้องเก็บภาพมากกว่าหนึ่งในหลาย ๆ โหมดกล้องอย่างแน่อนครับ (แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันนัก)
อันนี้เด็ดสุดจะเป็น Ultra Power Saving Mode ช่วยยืดระยะเวลาแบตเตอรี่ได้อีกมาก สมมุติแบตเตอรี่เหลือ 10% จะใช้งาน Standby ได้อีกประมาณวันนึงเลย หลักการก็คือเปลี่ยนจอเป็นขาวดำทั้งหมด ตัดเน็ตทุกครั้งเมื่อหน้าจอดับและที่สำคัญเปิด App อะไรไม่ได้เลยยกเว้น App ที่ตั้งไว้แค่ 6 อัน ตัวอย่าง App ที่สามารถใช้ได้ในโหมดนี้ก็มี
- Phone
- Internet
- Line
- ChatOn
ส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบและประทับใจในโหมดนี้มาก ๆ อารมณ์ประมาณว่าลุยมาทั้งวันและแบตฯ ใกล้จะหมดแล้ว ไม่ขอทำอะไรอีกแล้วนอกจากเล่น Facebook, Twtter, Line และรอรับสายที่สำคัญ
ส่วนจะดีเหมือนที่คุยมั้ยคงต้องรอรีวิวด้วยตัวเองครับ อย่างที่บอกคืนแบตเตอรี่อยู่ได้อีกวันคือแค่ Standby เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะเล่น Line ได้อีกเป็นวัน ๆ อะไรพวกนี้ ซึ่งหากมองในแง่ร้ายมันคงไม่ค่อยต่างกันกับเครื่องที่ตัด 3G ออกซักเท่าไหร่
ความสามารถกันน้ำอันนี้ก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน เพราะได้มาถึง IP67 (ของ Sony ได้แค่ IP57 เอง) นั่นหมายความว่ามาตรฐานนั้นสูงกว่าในเรื่องของการกันฝุ่น ส่วนกันน้ำสามารถจุ่มน้ำได้ถึง 1 เมตรเป็นระยะเวลาถึง 30 นาที (หากว่ากันตามมาตรฐาน)
แต่อย่างไรก็ตามทาง Samsung ก็ไม่แนะนำให้นำมันไปจุ่มน้ำ และการรับประกันก็ไม่ครอบคลุมถึงกรณีตกน้ำด้วยเช่นเดียวกัน แต่ก็สบายใจได้สำหรับการเล่นสงกรานต์, ฝนตก, น้ำหก หรือเหงื่ออะไรพวกนี้
ทีนี้มาดูเรื่องความเร็วที่ Samsung กล่าวอ้างกันบ้าง ใน Galaxy S5 ประกอบด้วย WiFI 802.11ac w/ MIMO ทำให้สามารถรับสัญญาณเน็ตได้เร็วขึ้นถึง 867Mbps (บ้านใครจะเน็ตแรงเท่านี้มั่ง – -*) ซึ่งเทคโนโลยีนี้จำเป็นต้องใช้กับพวก Router ราคาสูงทั้งหลายแหล่ อย่างน้อย ๆ ก็จะเป็นเรื่องช่วงสัญญาณที่กว้างขึ้นและเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่ยังไม่เคยใส่ในมือถือที่ไหนมาก่อน
ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับโอนถ่ายไฟล์ภายในบ้านได้เร็วขึ้น คงไม่ได้หมายถึงเล่นเน็ตเร็วขึ้นหรอกครับ แต่ถ้ามีไว้มันก็ดีเพราะเป็นเทคโนโลยีใหม่
(พึ่งสังเกตว่าสไลด์ด้านขวาบนมีคำว่า “Confidential” ด้วย)
ส่วนอีกโหมดก็คือ LTE A + WiFi ก็คือการดาวน์โหลดข้อมูลแบบ Download Booster ซึ่งไวโคตร ๆ ผ่านสัญญาณมือถือและ WiFI ผสมกัน (ใช้กับ 3G ก็ได้) อืม … แปลก (และเปลือง) ดีนะ … ถ้าจำไม่ผิดโหมดนี้น่าจะใช้ได้กับเฉพาะการดาวน์โหลดไฟล์เท่านั้นนะ
สำหรับผมยังหาโอกาสใช้งานจริง ๆ ไม่ค่อยได้ ยกเว้นแต่ว่าไปอยู่ในห้างหรือสถานที่สาธารณะที่มี WiFi อย่าง True WiFi, AIS WiFi, 3BB WiFi แล้วมันแบบเชื่อถือไม่ค่อยได้คือสัญญาณอ่อนชนิดติดมั่งหลุดมั่ง อันนี้ก็คงจะมีประโยชน์ขึ้นมา แต่ก็อย่างว่าแหล่ะส่วนใหญ่คนเราถ้าตัดสินใจเลือกเชื่อมต่อ WiFi แล้วก็เท่ากับว่าเราหวังที่จะพึ่งพิงมันแล้วนั่นเอง
มาถึงเรื่องปลอดภัย อันนี้มีระบบสแกนลายนิ้วมือสำหรับปลดล็อคหน้าจอรวมถึงการเข้าถึง Private Mode สำหรับคุณผู้ชาย ที่จะต้องเข้าถึงไฟล์สำคัญ (ใช่ … มันต้องสำคัญมาก ๆ สินะ) ด้วยการสแกนลายนิ้วมือ
อันนี้ได้รับการรับรองกับ Paypal ด้วยครับ ว่าปลอดภัยสามารถใช้กับระบบของเขาได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่รองรับที่บ้านเรา ดังนั้นความดีข้อนี้จึงตกไป ความแม่นยำในการสแกนผมให้เครดิต iPhone 5s ทำได้ดีกว่าครับ (พูดกันแบบไม่เกรงใจ Samsung เลย)
ส่วนอันนี้จะเป็นเคสแท้ที่มีชื่อว่า S View Cover และมากันถึง 14 สีด้วยกัน เป็นแบบฝาหลังในตัวเลยและยังกันน้ำได้เหมือนเดิม พร้อมผิวสัมผัสแบบใหม่และตัวนี้มีชิพฝังด้านในด้วยนะครับ ถ้าไม่ใช่ของแท้จะใช้งานฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างในเครื่องไม่ได้
สรุปคร่าว ๆ เกี่ยวกับสเปคเมื่อเทียบกับ Note 3 และ S4 จะเห็นได้ว่าดีกว่าเกือบทุกด้านเลยจริง ๆ ผมชักจะเริ่มอยากได้แล้วสิ!
Samsung Galaxy S5 เปิดตัวที่ราคา 23,800 บาท วางขายก่อนสงกรานต์เป็นสเปคเดียวกับที่ขายทั่วโลก (16GB 4G LTE) มีให้เลือก 3 สี (ขาว, ดำ, น้ำเงิน) ส่วนสีทองจะตามมาภายหลังครับ
Gear 2
รุ่นนี้พัฒนาต่อจากรุ่น Gear 1 ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก (ผมก็ไม่ค่อยชอบ) แต่หลัก ๆ ก็คือการทำให้มันกันน้ำ ใช้งานได้ประมาณ 2-3 วันและสามารถเปลี่ยนสายเองที่ร้านนาฬิกาได้ เป็นรีโมทโทรทัศน์ในตัวและกล้อง 2MP AF พร้อมใช้งานกับแอปฯ Fitness & Wellness เพราะมีเซ็นเซอร์วัดในตัว รองรับ Galaxy ทันทีกว่า 16 รุ่น อีกทั้งยังเปิด SDK ให้นักพัฒนาภายนอกมาร่วมด้วย
ถือว่ามีการปรับปรุงไปมากเลยทีเดียวครับ แต่เซ็นเซอร์เท่าที่ผมได้ลองไม่ประทับใจเลยซักนิด คือมันไม่ค่อยจะติดและวัดผลได้ง่าย ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็น Gear 2 หรือ Gear Fit
Samsung Gear 2 เปิดตัวที่ราคา 8,900 บาท วางขายน่าจะพร้อมกับ Galaxy S5
Gear Fit
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Gear 2 และ Gear Fit จะเห็นได้ว่า Gear Fit จะไม่มีกล้อง ไมค์ และลำโพง นอกนั้นก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นัก แต่ส่วนตัวผมชอบ Gear Fit มากกว่าเพราะหน้าตามันค่อนข้างที่จะดูดีกว่ามาก เป็นกระจกโค้ง ๆ สวยงาม
Samsung Gear Fit เปิดตัวที่ราคา 5,900 บาท วางขายน่าจะพร้อมกับ Galaxy S5
สเปค : Samsung Galaxy S5
- ระบบปฏิบัติการ : Android 4.4.2 และ TouchWiz แบบใหม่
- หน้าจอ : Super AMOLED 5.1″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล 432PPI
- หน่วยประมวลผล : Quad-core 2.5Ghz Snapdragon 801
- แรม : 2GB
- รอม : 16GB เพิ่ม Micro SD ได้เหมือนเดิม
- กล้องหลัง : 16MP โฟกัสได้ไวสุด 0.3 วินาที รองรับการถ่าย 4K และ Slowmotion ที่ 720P
- กล้องหน้า : 2.1MP
- ไร้สาย : LTE, NFC, WiFi B/G/N/AC, MIMO, Bluetooth 4.0
- พอร์ท : USB 3.0
- แบตเตอรี่ : 2,800 mAh
นอกจากนั้นก็จะเป็นเรื่องกันน้ำ IP67 แล้วก็เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ สุดท้ายก็จะเป็นสแกนลายนิ้วมื้อ
ลองเปรียบเทียบกับ iPhone 5 สีของ Galaxy S5 นั้นสดเอาเสียมาก ๆ บวกกับสีภาพพื้นหลังทำให้ดูแสบตาเอาง่าย ๆ หากใครที่ชอบสีแนว IPS นวล ๆ ตาของ LG จะไม่ค่อยประทับใจเลย ส่วนตัวผมว่ามันก็สวยกันคนละแบบนะ
ส่วนด้านหลังผมก็ยังเข้าไม่ถึงดีไซน์อีกเช่นเคย = =”
ทดลองเล่น iReview.in.th ด้วยโหมด Ultra Power Saving Mode มันก็ดูสวยและแปลกตาไปอีกแบบนะ เหมือนสูงสุดคืนสู่สามัญยังไงก็ไม่รู้ แต่โดยรวมแล้วรู้สึกตื่นตาตื่นใจดีครับ
สรุป
งานประกอบของ Galaxy S5 ค่อนข้างทำได้ดีอยู่เหมือนกัน แต่ว่าในเรื่องดีไซน์ดูเหมือนจะไม่ค่อยโดนนัก การพัฒนาของ Samsung เริ่มเด่นชัดมากขึ้นว่า “ซื้อ Samsung ต่างจากซื้อ Android อื่นอย่างไร?” ทาง Samsung เน้นไปที่ฟีเจอร์และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ อย่างเด่นชัดไปจาก Android ทั่ว ๆ ไป ซึ่งถ้าเรามองที่สเปคก็จะแทบไม่เห็นความแตกต่างอะไรที่เด่นชัดไปจาก Galaxy S4 เลย