การประเมินราคาเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 ชั้น 2 และ 2+ รวมถึงชั้น 3 และ 3+ ทุกบริษัทล้วนมีหลักเกณฑ์ในการคำนวณเบี้ยประกันที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและความคุ้มครองที่ผู้เอาประกันต้องการ ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อเบี้ยประกันรถยนต์ที่หลาย ๆ บริษัทใช้ในการประเมินมีอะไรบ้าง
6 ปัจจัยที่ส่งผลต่อเบี้ยประกันรถมีอะไรบ้าง
การกำหนดเบี้ยประกันรถยนต์นั้นไม่ได้พิจารณาเพียงแค่ราคาของรถยนต์เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่บริษัทประกันนำมาวิเคราะห์เพื่อประเมินความเสี่ยงและกำหนดอัตราเบี้ยประกันที่เหมาะสม
1. ประเภทของประกันภัยรถยนต์ที่เลือก
ประเภทของประกันรถยนต์เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลโดยตรงต่อเบี้ยประกัน โดยแต่ละประเภทมีความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันที่แตกต่างกัน
- ประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองสูงสุดและครอบคลุมที่สุด ทั้งความเสียหายต่อตัวรถ การสูญหาย ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติ รวมถึงความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ด้วยความคุ้มครองที่ครบวงจรนี้ จึงมีเบี้ยประกันที่สูงกว่าประเภทอื่น
- ประกันรถยนต์ชั้น 2 และ 2+ มีความคุ้มครองที่จำกัดกว่าชั้น 1 โดยชั้น 2 จะคุ้มครองเฉพาะกรณีรถหายและไฟไหม้ ส่วนชั้น 2+ จะเพิ่มความคุ้มครองกรณีชนกับคู่กรณี แต่ไม่รวมถึงความเสียหายของรถคันเอาประกัน ทำให้เบี้ยประกันถูกลงกว่าชั้น 1
- ประกันรถยนต์ชั้น 3 และ 3+ เป็นประกันที่มีความคุ้มครองน้อยที่สุด โดยชั้น 3 จะคุ้มครองเฉพาะความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ส่วนชั้น 3+ จะเพิ่มความคุ้มครองกรณีชนกับคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบก เบี้ยประกันจึงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น
2. รุ่นและยี่ห้อรถ
ลักษณะและประเภทของรถยนต์มีผลอย่างมากต่อการคำนวณเบี้ยประกัน
- รถที่มีราคาสูงหรือรถหรู เช่น Mercedes-Benz หรือ BMW มักมีเบี้ยประกันที่สูงกว่ารถทั่วไป เนื่องจากค่าซ่อมและอะไหล่มีราคาแพง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมสูงกว่า บริษัทประกันจึงต้องคำนึงถึงต้นทุนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- รถยนต์เก่าที่มีอายุการใช้งานมาก อาจมีเบี้ยประกันที่สูงขึ้นเช่นกัน เพราะมีโอกาสเกิดความเสียหายได้ง่ายกว่ารถใหม่ และบางครั้งอะไหล่อาจหายากหรือต้องสั่งพิเศษ ทำให้ค่าซ่อมบำรุงสูงขึ้น
3. ประวัติการขับขี่
ประวัติการขับขี่เป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนถึงพฤติกรรมและความเสี่ยงของผู้ขับขี่ ผู้ที่มีประวัติการขับขี่ดี ไม่เคยเคลมประกันหรือเกิดอุบัติเหตุ มักได้รับส่วนลดพิเศษจากบริษัทประกัน ในทางกลับกัน ผู้ที่มีประวัติการเคลมบ่อยครั้งอาจต้องจ่ายเบี้ยประกันที่สูงขึ้น เพราะถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการเกิดอุบัติเหตุซ้ำ
H3 4. อายุและเพศของผู้ขับขี่
อายุและเพศเป็นปัจจัยทางสถิติที่บริษัทประกันใช้ประเมินความเสี่ยง โดยผู้ขับขี่ที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี หรือเพศชาย มักมีเบี้ยประกันที่สูงกว่า เนื่องจากสถิติแสดงให้เห็นว่ากลุ่มนี้มีแนวโน้มเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ากลุ่มอื่น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยนี้อาจมีน้ำหนักน้อยลงหากผู้ขับขี่มีประวัติการขับขี่ที่ดี
5. พื้นที่การใช้งาน
สภาพแวดล้อมและพื้นที่การใช้งานรถยนต์มีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ การใช้รถในเขตเมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่น มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าการใช้รถในพื้นที่ชนบท ทำให้เบี้ยประกันในเขตเมืองมักสูงกว่า นอกจากนี้ พื้นที่ที่มีสถิติการโจรกรรมสูงก็อาจส่งผลให้เบี้ยประกันสูงขึ้นด้วย
6. การซื้อความคุ้มครองเสริม
การเลือกซื้อความคุ้มครองเสริมนอกเหนือจากแผนพื้นฐาน เช่น การเพิ่มทุนประกัน การคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม การประกันชีวิตผู้โดยสาร หรือการขยายความคุ้มครองพิเศษอื่น ๆ จะส่งผลให้เบี้ยประกันสูงขึ้นตามระดับความคุ้มครองที่เพิ่มขึ้น
สรุปบทความ
เบี้ยประกันรถยนต์เป็นผลรวมของหลายปัจจัยที่บริษัทประกันนำมาพิจารณา การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราเลือกประกันได้เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ โดยเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมที่สุด แม้จะมีเบี้ยประกันที่สูงกว่า แต่ก็ให้ความอุ่นใจในการใช้รถมากที่สุด สิ่งสำคัญคือการพิจารณาปัจจัยทั้งหมดประกอบกันเพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการมากที่สุด
หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial