สมาร์ทโฟนยุคนี้เริ่มหันมาแข่งขันกันทางด้านกล้องมากขึ้นเรื่อยๆทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ถ้าพูดถึงเรื่องกล้องแล้ว มีรุ่นนึงที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นคือ Oppo N1 สมาร์ทโฟนกล้อง 13 ล้านพิกเซล และยังเป็นสมาร์ทโฟนตัวแรกที่กล้องหน้าและกล้องหลังเป็นตัวเดียวกันเพราะกล้องที่สามารถหมุนได้ถึง 206 องศา
แต่ความสามารถของ Oppo N1 ไม่ได้มีแค่กล้องเท่านั้น ยังมาพร้อมกับลูกเล่นอีกมากมาย และอุปกรณ์สั่งงานแบบไร้สายชื่อว่า O-Click อีก สำหรับ Spec ของ Oppo N1 ที่เรียกว่าเป็นรุ่นเรือธงของ Oppo ขณะนี้เมื่อเทียบกับเรืองธงยี่ห้ออื่นๆอย่าง Xperia Z1 , G2 , Note 3 หรืออะไรเทือกๆนี้ ซึ่งแต่ละตัวหันมาใช้ Snapdragon 800 กันหมดแล้ว ส่วน Oppo N1 กลับใช้ Snapdragon 600 เท่านั้นแถมเปิดตัวที่ราคา 19,900 บาท ทำเอาหลายคนคิดหนักเลย
แต่!…Snapdragon 600 ใช่ว่าจะไม่ลื่น (ดูอย่าง hTC One ที่ใช้ CPU เดียวกัน) และ Oppo N1 ไม่ได้มีดีแค่กล้องเท่านั้น ยังมีลูกเล่นอื่นๆมากมายในบทความที่ท่านกำลังอ่านต่อไปนี้
Oppo N1 Specification
- CPU : Qualcomm Snapdragon 600 Quad-core 1.7 GHz Krait 300
- GPU : Adreno 320
- OS : Color OS (based on Android 4.2 )
- Display : 5.9″ True HD IPS+ capacitive touchscreen ความละเอียด 1080 x 1920 พิกเซล, (~373 PPI)
- RAM : 2 GB
- ROM : 16/32GB (ไม่รองรับ micro SD)
- Camera (Back) : 13 MP, 4128×3096 pixels, autofocus, dual-LED flash,
- Camera Features : กล้องหมุนได้ 206 องศา , geo-tagging, touch focus, face detection, panorama, HDR, long exposure (นานสุด 8วินาที)
- Battery : 3610 mAh
- Network : รองรับ 3G HSDPA 850 / 900 / 1700 / 1900 / 2100
- Sim : micro Sim
[divider]
Design
OPPO N1 หน้าจอค่อนข้างใหญ่ จับแล้วรู้สึกว่ามันเทอะทะไปหน่อย แน่นอนว่าใช่มือเดียวลำบาก มีหน้าจอ 5.9″ ความละเอียด Full HD เป็นจอ IPS LCD สีสวยงาม ไม่สดเกินไป สู้แสงได้ดี เอาเป็นว่าสวยกำลังดี เหมาะสำหรับคนชอบดูหนัง ดูวิดีโอ เล่นเกมส์แบบจอใหญ่ๆสะใจๆ ด้านบนมี เซนเซอร์ และ ลำโพงสนทนา
ด้านล่างมีปุ่มแบบ Soft key สามปุ่ม Menu , Home , Back ตามลำดับ สำหรับปุ่ม Back ถ้าถือเล่นด้วยมือขวาแล้วเอื้อมนิ้มโป้งไปกดยากหน่อย ความจริงนี่มันเป็นปัญหาประจำเครื่องที่จอใหญ่ๆแทบทุกเครื่องเลยก็ว่าได้ ยกเว้นบางเครื่องที่เอาปุ่ม Back ไปไว้ซ้ายสุด
ด้านหลังวัสดุเป็นพลาสติกผิวด้าน ลื่นมือ หลายคนคงสงสัยว่าสีขาวอย่างงี้ สกปรกง่ายสิ ผมบอกได้เลยว่า”จริง” แต่! มันทำความสะอาดง่ายมาก เอาผ้าถูๆหรือยางลบ ลบๆ ไม่ก็เอานิ้วถู รอยก็ออกแล้ว ข้างบนเป็นกล้องกล้อง 13 ล้านพิกเซล สามารถหมุนได้ถึง 206 องศา มันจึงเป็นได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง มี Dual-Flash ช่วยให้รูปถ่ายโดยใช้ Flash ออกมาเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น และรูไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา
ถ้าสงสัยว่ากล้องมันหมุนยังไง คลิปด้านบนนี้อาจจะช่วยให้ท่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ด้านล่างมีไม่โครโฟนสนทนา , ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm และ ลำโพง เห็นเล็กๆอย่างงี้เสียงดังใช้ได้เลยนะ
ด้านขวา มีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง (ที่อยู่ต่ำมากๆ กดลำบาก) และปุ่ม Power
ด้านซ้าย มาช่องใส่ซิมอย่างเดียวเพราะแกะฝาหลังไม่ได้ ช่องใส่ซิมเลยย้ายมาอยู่ตรงนี้ และรอบๆเครื่องยังครอบด้วยกรอบอะลูมิเนียมสีขาว ดูหรูหรามีระดับ
ส่วนด้านบนโล่งโจ้ง เพราะเป็นโมดูลกล้องต้องหมุนไปหมุนมา
อ่อใช่ ลืมอวดว่าด้านหลังมีอีกลูกเล่นแฝงอยู่ นั่นคือ O-Touch Control อยู่ตรงกลางเยื้องๆไปด้านบนหน่อย ไว้ให้เราเอานิ้วเขี่ยๆบริเวณในกรอบเพื่อเลื่อนขึ้น-ลง-ซ้าย-ขวา และ สัมผัสหรือแตะเบาๆเพื่อสั่งงานได้ เช่น แตะเพื่อลั่นชัตเตอร์ในขณะที่เปิดแอพกล้องอยู่
[divider]
Camera
มาถึงจุดเด่นสุดของ Oppo N1 กันแล้ว นั่นคือกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลที่สามารถหมุนได้ถึง 206 องศานั่นเอง
เพราะจุดเด่นนี้ที่ทำให้กล้องตัวเดียวของ Oppo N1 เป็นได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง และสามารถบิดถ่ายได้ทุกองศา เหมาะกับคนที่ต้องการถ่ายรูปในมุมแปลกๆ หรือแอบถ่ายได้สบายๆเลย
โหมดในกล้องของ Oppo N1 ก็มีมาให้ครบเหมือนรุ่นเรือธงรุ่นอื่น แต่มีพิเศษกว่านั้นเล็กน้อยคือโหมด Slow Shutter ในการถ่ายรูปสามารถเปิดชัตเตอร์ค้างไว้ได้สูงสุด 8 วินาที
เมื่อเราบิดกล้องมาเพื่อจะถ่ายรูปตัวเอง Oppo N1 จะเป็นแอพกล้องให้อัตโนมัติ
และฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้สำหรับสาวๆคือโหมด Beauty Face ทำหน้าสวยใสไร้สิวให้ทันทีไม่ต้องโบ๊ะแป้ง
แต่! ที่เด็ดกว่านั้นคือมันแต่งหน้าได้ด้วย! เขียนตา ปัดแก้ม เติมขนตา เรียกว่าสวยไม่ต้งลงทุนเลย
เออ…แต่ควรใช้กับรูปคุณผู้หญิงมากกว่า
[divider]
Color OS
ระบบปฏิบัติการใหม่ ไฉไลกว่าเดิม อิงพื้นฐานจาก Android
Oppo ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองตัวใหม่ขึ้นมาชื่อว่า ColorOS โดยอิงพื้นฐานจาก Android นั่นแหละ หรือให้เข้าใจง่ายๆมันคือ Android ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นแบบใหม่ หน้าตาใหม่กว่าเดิม พร้อมลูกเล่นต่างๆที่มากขึ้น ฉะนั้น มันจึงมี Google Service มาให้และรันแอป Android ได้ปกติเหมือนเดิม
ก่อนรีวิวทีละส่วน เราไปดูวิดีโอสรุป ColorOS โดยรวมกันก่อนดีกว่า
อ่าจากวิดีโอเราจะได้เห็นฟีเจอร์คร่าวๆของ ColorOS กันไปแล้ว แน่นอนว่า ColorOS จะมาในสมาร์ทโฟน Oppo แทบทุกรุ่น Find5 ก็สามารถอัพได้แล้ว และมีมือดีพอร์ท ColorOS ลง hTC One ได้แล้วด้วย ใครมี hTC One อยู่อยากลองไปลองได้ที่สังคม XDA ครับ
จากที่ได้สัมผัสมามันให้ความรู้สึกเหมือน MIUI อีกเวอร์ชั่นนึงมากๆ ในหน้า Launcher หน้าตาจะคล้ายๆเดิมแต่มี App Drawer และ สารามถจัดเรียงไอค่อนได้ทั้ง App Drawer และหน้า Home
หน้า Lockscreen สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้หลายแบบ แถมยัง Download Online เพิ่มได้อีกเพียบ ใครเคยใช้ MIUI คงรู้สึกคุ้นๆใช่มั้ยหละ Oppo เรียกบริการนี้ว่า NearMe Theme
ไม่ใช่แค่ Lockscreen เท่านั้นที่เปลี่ยนรูปแบบได้ หน้า Home และ App Drawer ก็เปลี่ยนได้เหมือนกันครับ ทั้งรูปแบบ icon และ Wallpaper มีให้เลือกแบบไม่มีเบื่อกันเลย
หน้า Home ยังมี Exclusive space ให้เพิ่มอีก 2 หน้าคือ Music และ Camera เราสสามารถควบคุมเครื่องเล่นเพลงได้จากหน้านี้เลยไม่ต้องเข้าแอพ แค่เอานิ้วแตะเข็มอ่านแผ่นลากมาที่แผ่นเสียง อารมณ์ประมาณเราเปิดแผ่นเสียงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั่นแหละ คลาสสิกมั้ยละๆ
นอกจากมี Live Wallpaper แบบใน Android ทั่วไปแล้ว ยังมี Live Weather อีกด้วยที่ภาพ Wallpaper จะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ ณ ตอนนั้น เช่น อากาศเย็นหนังศรีษะแห้ง ทำให้เกิดรังแค ในหน้าจอก็จะมีรังแคร่วงลงมาตามภาพตรงกลางครับ
อ่าว หิมะหรอกหรอ
Notification bar ก็ไม่ธรรมดา มีทั้ง shortcut ลัด ในการเปิดปิดการตั้งค่าต่างๆ และ Gesture panal
ถ้าปาดทางด้านบนขวาจะเป็นการเรียก Notification ธรรมดาลงมา แต่ถ้าปาดด้านบนซ้ายจะเป็นการเรียก Gesture panal ลงมา
Gesture panal คือหน้าต่าไว้วาด Gesture รูปต่างๆในการเรียก app ขึ้นมา เราสามารถเพิ่ม Gesture ได้เองด้วย นอกจากเรียก app ได้แล้วยังทำอย่างอื่นได้อีก เช่น ส่งข้อความ , อัดเสียง , เข้าเว็บ , เปิดไฟฉาย , เล่นเพลง และอื่นๆอีกเพียบ
ใน ColorOS แทบจะไม่เหลือหน้าตา Android ไว้เลย หน้าตาดีขึ้นมากๆ ในหลายๆ app
ColorOS ยังมีแอพต่างๆแถมมาให้ ก็มี Dolby effect ที่สามารถให้เราปรับ equalizer ได้อย่างอิสระ , เข็มทิศ มีไว้ไม่หลงป่า
App encryption ไว้เข้ารหัส app ที่ไม่อยากให่ใครเข้าไปยุ่ง ถ้าจะเข้า app ต้องใส่รหัสก่อน , Data usege ไว้เช็คว่าเดือนนี้ใช้ Data เกินรึยังนะ หากเกิน แอพไหนที่รันอยู่เบื้องหลังแล้วกิน Data เราโดยไม่จำเป็น เราก็ระงับได้ด้วย app Data saving
มี Backup and restore ไว้สำรองข้อมูลเพื่อข้อมูลหาย และสามารถตั้งได้ว่าให้สำรองข้อมูลไว้เดือนละกี่ครั้ง
มี Power saving ช่วยรักษาแบตเตอรี่ให้ใช้ได้นานขึ้น , Weather และ File Manager ไว้จัดการไฟล์ในเครื่อง ซึ่ง หลายค่ายไม่มีตรงนี้ ต้องโหลดเพิ่มเอาเอง แต่ N1 มีให้เลย
หากเพื่อนเพื่อนยืมเครื่องไปเล่นเราสามารถเปิด Guest Mode ในโหมดนี้เพื่อนจะไม่สามารถเข้าถึง app หรือ รูปและคลิปต่างๆที่เราซ่อนไว้ได้ ที่ถูกใจมากที่สุดคือ Permission monitor จะคอยแจ้งเตือนว่า เราจะปล่อยให้ app นี้เข้าถึงอะไรได้บ้าง
ใครคิดว่า Galaxy S4 มี Gesture เยอะแล้ว Oppo N1 ก็มีเยอะไม่แพ้กันเลยครับ
เล่นคลิปวิด๊โอ 1080p ได้อย่างลื่นๆ สบายๆ
โดยรวมแล้ว ColorOS มีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก แต่ยังมี Bug เล็กๆน้อยๆให้เห็นอยู่บ้าง เหมือนยังทำไม่เสร็จดี หวังว่าจะมา Update มาแก้ไขปัญหาตรงนี้เรื่อยๆนะครับ
[divider]
O-Click
ของเล่นใหม่จาก Oppo เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วย Bluetooth พลังงานต่ำ ทำให้ไม่เปลืองแบตเตอรี่เลย
เราใช้ O-Cilck เป็นปุ่มซัตเตอร์ในการถ่ายรูปตัวเองได้อีกด้วย
ปัญหาที่เจออยู่บ่อยๆคือ “มือถืออยู่ไหน” และจะไม่เจอปัญหานี้อีกต่อไปด้วยการกด O-Click สองที มันจะส่งสัญญาณให้มือถือดัง ปิ๊ปๆๆ ทำให้เราเจอมือถือได้ง่ายๆ
ถ้า O-Cilck หายหละ? ไม่เป็นไรครับ เราใช้มือถือเรียก O-Cilck ได้เหมือนกัน และมันยังแจ้งเตือนอีกด้วยไม่ว่าอุปกรณ์ตัวใดห่างกันออกไปมันจะส่งเสียงร้องแจ้งเตือนกันและกันเอง ส่วนถ้าหายไปพร้อมกันสองอันก็ซวยไปครับ
[divider]
Benchmark
ในเรื่องของ Benchmark คงไม่พูดอะไรมาก เพราะบางทีตัวเลขก็เอาไปตัดสินใจอย่างเดียวไม่ได้ ตามรูปเลยละกัน
3DMark
โหมด Ice Storm ได้คะแนน Maxed out ทะลุกรอบไปเลย
โหมด Ice Storm Extreme ได้ 6605 คะแนน
โหมด Ice Storm Unlimited ได้ 10045 คะแนน
AnTuTu Benchmark ได้ 24223 คะแนน
Vellamo
โหมด HTML5 ได้ 1958 คะแนน
โหมด Metal ได้ 661 คะแนน
[divider]
สรุปแล้ว Oppo N1 ถือเป็นอีกรุ่นนึงที่น่าสนใจ ทั้งในเรื่องของระบบปฏิบัติการแบบใหม่ หน้าจอที่ดีขึ้นกว่าเดิม ลูกเล่นต่างๆ และที่สำคัญคือกล้องที่หมุนได้นั่นเอง ยุคนี้คงหนีไม่พ้นเทรนถ่ายรูป Selfy คือการเอามือถือถ่ายรุปตัวเองนั้นแหละ หลายคนก็ต้องใช้กล้องหน้าถ่ายเพราะใช้กล้องหลังถ่ายคงไม่ถนัดเท่าไหร่ แน่นอนว่า กล้องหน้ามันต้องไม่ค่อยชัด แต่ N1 สามารถบิดกล้องหลังของตัวเองให้กลายมาเป็นกล้องหน้าได้ และได้ความละเอียดเต็มๆ 13 ล้านพิกเซล ถ้าไม่ติดในเรื่องขนาดและความหนักของมัน ก็ขอฝากรุ่นนี้เอาไว้ในการตัดสินใจด้วยละกันครับ
ขอขอบคุณ Oppo Thailand ที่ให้เครื่องมารีวิว