ในงานก่อสร้างอาคารขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ “เหล็กรูปพรรณขึ้นรูปรีดร้อนหน้าตัดรูปตัว H” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เหล็กเอชบีม  (H-Beam) คือหนึ่งในวัสดุโครงสร้างที่ถูกเลือกใช้อย่างแพร่หลาย ด้วยคุณสมบัติด้านความแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี ทั้งแรงอัด แรงดัด และแรงเฉือน เหล็กชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นเสา คาน หรือส่วนประกอบหลักในโครงสร้างอาคารและโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่การเลือกใช้เหล็กเอชบีม  อย่างไม่เข้าใจสเปกที่แท้จริง อาจทำให้เจ้าของโครงการเสียเปรียบ ทั้งในเรื่องของต้นทุนและความปลอดภัยทางโครงสร้าง

บทความนี้จะเป็น คู่มือเช็กสเปกเหล็กเอชบีม ฉบับเข้าใจง่าย ที่จะช่วยให้เจ้าของโครงการหรือผู้ว่าจ้างสามารถสื่อสารกับผู้รับเหมาได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกเปลี่ยนสเปกแบบเนียน ๆ โดยไม่รู้ตัว

เหล็กเอชบีมคืออะไร ?

เหล็กเอชบีม คือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (Hot-Rolled Steel) ที่มีหน้าตัดเป็นรูปตัว H ซึ่งให้ความแข็งแรงในการรับแรงดัดในแนวตั้ง (คาน) และรับแรงอัดในแนวนอน (เสา) ได้ดีเยี่ยม จุดเด่นอยู่ที่ “ความหนา” และ “ความสูงของปีกเหล็ก (Flange)” ที่ทำให้สามารถรับแรงได้มากกว่าหน้าตัดอื่น ๆ อย่าง C-Channel หรือ I-Beam ทั่วไป

จุดที่ควรเช็กก่อนเลือกใช้เหล็กเอชบีม

  1. ขนาดหน้าตัด (Section Size)
    • ขนาดของเหล็กเอชบีม  จะระบุเป็น ความสูงของเหล็ก × ความกว้างของปีก เช่น 150×150 mm หรือ 200×100 mm
    • ควรเลือกขนาดตามแบบวิศวกรรมที่ออกแบบไว้ และอย่าใช้ขนาดใกล้เคียงโดยไม่ได้รับการคำนวณใหม่
  2. ความหนาของปีกและแกนกลาง (Flange & Web Thickness)
  1. เหล็กเอชบีม ที่เหมือนกันในชื่อเรียกอาจมีความหนาต่างกัน ส่งผลต่อกำลังรับน้ำหนัก
  2. ตัวอย่างเช่น H 200×200×8×12 หมายถึง ความสูง 200 mm, ความกว้างปีก 200 mm, ความหนา web 8 mm, ความหนา flange 12 mm
  3. น้ำหนักต่อเมตร (kg/m)
  1. เป็นตัวชี้วัดปริมาณเนื้อเหล็กจริง ยิ่งน้ำหนักมากแสดงว่าสเปกสูงกว่า
  2. เช็กกับตารางเหล็กของโรงงานผลิต เช่น มอก. 1227-2539 หรือ ASTM A992 ว่าน้ำหนักที่ใช้ตรงตามที่ควรจะเป็นหรือไม่
  3. เกรดเหล็ก (Steel Grade)
  1. ควรเลือกเกรดที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เช่น SS400 (มาตรฐานญี่ปุ่น), A36 หรือ A572 Gr.50 (มาตรฐานอเมริกัน)
  2. เกรดที่สูงกว่า จะมีค่า Yield Strength และ Tensile Strength ที่ดีกว่า รองรับน้ำหนักได้มากขึ้น
  3. แหล่งที่มาของเหล็ก
  1. ตรวจสอบว่าเป็นเหล็กรีดร้อนจากโรงงานมาตรฐานหรือเหล็กรีไซเคิล
  2. เหล็กเกรดต่ำอาจมีปัญหาเรื่องความแข็งแรง ไม่เหมาะสำหรับงานโครงสร้างหลัก

เทคนิคเลี่ยงการถูกลดสเปกโดยไม่รู้ตัว

  • ขอใบรับรองคุณภาพ (Mill Certificate) จากผู้รับเหมา หรือซัพพลายเออร์
  • ชั่งน้ำหนักเหล็กจริง เทียบกับน้ำหนักตามตารางมาตรฐาน หากเบากว่ามาก อาจมีการลดสเปก
  • ตรวจสอบรอยปั๊มบนเนื้อเหล็ก ซึ่งควรมีชื่อโรงงาน วันผลิต และเกรดเหล็กครบถ้วน
  • อย่าซื้อจากแหล่งที่ไม่มีมาตรฐาน เช่น ตลาดเหล็กมือสองหรือเหล็กค้างสต็อกที่ไม่มีการรับรอง

การเลือกใช้เหล็กเอชบีมในงานก่อสร้างไม่ใช่แค่เลือก “ขนาด” ที่เหมาะสม แต่ยังต้องเข้าใจ “รายละเอียดเชิงเทคนิค” อย่างลึกซึ้ง ทั้งในเรื่องของความหนา น้ำหนัก เกรดเหล็ก และมาตรฐานผลิต เพื่อป้องกันการลดสเปกที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของอาคารในระยะยาว

หากคุณเป็นเจ้าของโครงการ ผู้ว่าจ้าง หรือผู้ควบคุมงาน การมีความรู้เบื้องต้นเหล่านี้จะทำให้คุณ มั่นใจทุกครั้งที่เซ็นอนุมัติวัสดุ และสามารถร่วมมือกับผู้รับเหมาได้อย่างมืออาชีพ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการลดต้นทุนแฝงอย่างไม่เหมาะสม

หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial