ในปัจจุบันที่อากาศเป็นมลพิษ PM 2.5 มาเป็นระยะและเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ทุกปี ไม่ว่าจะด้วยปัญหาจากรถยนต์หรือการเผาในที่โล่งก็ตามแต่ หนึ่งสิ่งที่เราพอจะทำได้ในตอนนี้ก็คือ เครื่องฟอกอากาศ ที่ควรมีติดบ้านเอาไว้ แต่หากได้ศึกษาดูลึก ๆ จะค้นพบว่า ปัญหาของฝุ่นจะมีตั้งแต่ขนาด PM 10, PM 2.5, PM 1.0 ไปจนถึง PM 0.3 เลยทีเดียว

เครื่องฟอกอากาศซัมซุง

ในบ้านเราก็มีเครื่องฟอกอากาศหรือ เครื่องกรองอากาศ (อันเดียวกันแล้วแต่จะเรียก) อยู่หลายยี่ห้อตั้งแต่ของไม่มียี่ห้อเริ่มต้นที่หลักพันบาท หรือจะใช้ของดีขึ้นมาหน่อยอย่าง Xiaomi หรือ Sharp อันนี้ก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่หากอยากได้คุณสมบัติจัดเต็มขึ้นมาหน่อย อย่างของซัมซุงก็จะมีรุ่น JUPITER, BLUE SKY และ Cube เรียงตามลำดับราคา

วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ

สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก็คือเรื่องของ HEPA Filter โดยหากเป็นแบรนด์มีชื่อเสียงก็ไม่มีอะไรต้องกังวล จะน่าเป็นห่วงคือยี่ห้อโนเนมถูก ๆ ที่หาที่มาที่ไปไม่ได้มากกว่า สำหรับของซัมซุงจะเลือกเป็น HEPA ความละเอียด H13 ในทุกรุ่น หรือสรุปเป็นภาษาชาวบ้านก็คือในอากาศ 1 ลิตร สิ่งสกปรกขนาด 0.1 ไมครอน มีโอกาสผ่านไป “0.05 %” นั่นเองครับ

หลักการทำงานพื้นฐานของเครื่องฟอกอากาศ คือการดูดอากาศด้วยพัดลมเข้าไปหาฟิลเตอร์

นอกจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของขนาดห้องที่ต้องสัมพันธ์กันด้วย หากเป็นห้องใหญ่เครื่องฟอกอากาศก็ต้องใหญ่ตาม ส่วนค่าตัวเลข CADR (Clean Air Delivery Rate) บ่งบอกถึงความเร็วในการถ่ายเทอากาศ หากยิ่งสูงคือยิ่งฟอกอากาศหมุนเวียนในห้องได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหน้าจอตัวเลขที่บอกค่าฝุ่นจะมีตั้งแต่รุ่น BLUE SKY AX5500 เป็นต้นไป

Samsung BLUE SKY AX5500

ในตระกูลเครื่องฟองอากาศ Samsung BLUE SKY จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่

  1. BLUE SKY AX3300 ราคา 8,290 บาท
  2. BLUE SKY AX5500 ราคา 14,990 บาท
  3. BLUE SKY AX7500 ราคา 20,990 บาท

หากซื้อจริงอาจได้ถูกกว่านั้นตามโปรโมชันของร้านค้า และรุ่นโมเดล AX5500 (ตัวที่เรารีวิว) โดยนับเป็นรุ่น เครื่องกรองอากาศซัมซุงถูกที่สุด ที่มีหน้าจอดิจิทัลคอยบอกตัวเลขของฝุ่นในห้อง รวมถึงการรองรับ Bixby และ Wi-Fi จึงทำให้มันเป็นอุปกรณ์ IoT ตัวหนึ่งในบ้านนั่นเอง รองรับขนาดห้องสูงสุด 60 ตารางเมตร เป็นรองรุ่น AX7500 แค่เรื่อง CADR

ความสูงของเครื่องต่ำกว่าเอวนิดหน่อย ทำให้เวลาใช้งานก็ไม่ต้องก้มไปกดให้ปวดหลัง ขนาดอยู่ประมาณพัดลมตั้งพื้นที่เราคุ้นเคยกัน มีให้เลือกเพียงแค่สีเดียวคือสีขาว สามารถเข้ากับบ้านส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี วางแล้วไม่ขี้เหร่เป็นของตกแต่งบ้านได้ และก็ไม่ได้มีขนาดเล็กจนเกินไปจนทำให้เราเผลอไปเดินเตะล้มเพราะ เครื่องฟองอากาศถูกออกแบบมาให้ตั้งพื้น

และเนื่องจากตัวเครื่อง Samsung BLUE SKY ในรีวิวเป็นภาษาเกาหลีก็ไม่ต้องแปลกใจ เนื่องจากเป็นรุ่นที่ยืมซัมซุงมาทดสอบจากเกาหลีครับ เครื่องที่ขายจริงในประเทศไทยจะเป็นภาษาอังกฤษปกติ และดูจากรูปสัญลักษณ์ก็จะชวนให้เข้าใจได้ไม่ยาก เมนูทั้งหมดเป็นระบบสัมผัส หรือใครขี้เกียจจะควบคุมผ่านแอปพลิเคชันหรือเสียงด้วย Bixby เองก็ได้เช่นกัน

3-Way Air Flow

โดยปกติเครื่องฟอกอากาศจะดูดอากาศจากด้านล่าง และพ่นออกมาด้านบนโดยไม่ได้สนใจทิศทางอะไร แต่สำหรับ BLUE SKY ตั้งแต่รุ่น AX5500 ขึ้นไปจะมีระบบ 3-Way Air Flow ที่จะช่วยปล่อยอากาศที่ฟอกแล้วให้สะอาดทุกมุมห้อง เผื่อว่าเวลาเราวางชิดมุมแล้วมันชนผนัง (ซึ่งอันที่จริงคุณไม่ควรวางเช่นนั้น) ทำให้อากศบริสุทธิ์กระจายตัวทั่วทั้งห้องได้ดี

การตรวจจับฝุ่นละออง PM เป็นรูปแบบเลเซอร์ (Laser PM Sensor) ทำให้สามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่ PM 1.0 แยกประเภทไปถึงขนาด PM 10 (PM 0.3 ตรวจไม่ได้เพราะเล็กเกิน) นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจแก๊ส (Gas Sensor) ที่เป็นอันตรายและกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ด้วย อันนี้เป็นในส่วนของความปลอดภัยที่มากกว่าการกรองอากาศที่เพิ่มเข้ามา

หน้าจอจะมีการแสดงค่า PM 10, PM 2.5 และ PM 1.0 โดยมีการแบ่งเป็นเป็นระดับสีเพื่อบอกถึงความสะอาดของอากาศ มีตั้งแต่บริสุทธิ์มากไปจนถึงน้อย (ฟ้า, เขียว, เหลือง, แดง) แถมยังมีหน้าตาดูดีเป็นอย่างมาก อันนี้ใช้งานง่ายมากไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุ หน้าจนมีแถบ LED แบบยาวและวางเอียงนิดหน่อย หากอยู่ระยะไกลก็ยังพอมองเห็นสีได้

ตะแกรงระบายอากาศด้านบนมีขนาดใหญ่ วัสดุทั้งหมดเป็นพลาสติกล้วน สามารถเช็ดล้างทำความสะอาดง่าย ข้อเสียอาจเป็นเรื่องพลาสติกสีดำ ที่ใช้งานไปนาน ๆ จะทำให้มีโอกาสเป็นรอยนิ้วมือและรอยขนแมวได้ง่าย และถึงแม้ว่ารุ่นนี้จะรองรับ Wi-Fi แต่หากคุณไม่ได้เชื่อมต่อ หรือระบบอินเตอร์เน็ตที่บ้านมีปัญหา ก็ยังคงที่จะสามารถใช้งานทุกอย่างได้อยู่ตามปกติ

การสั่งงานด้วยเสียงผ่านระบบ Bixby น่าเสียดายที่ไม่รองรับภาษาไทย แต่เราสามารถใช้ศัพท์ง่าย ๆ ด้วยภาษาอังกฤษเพื่อสังงาน หรือจะดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SmartThings เพื่อดูสถานะหรือควบคุมการเปิดปิดจากนอกบ้านก็ได้ อันนี้เราสามารถใช้แทนรีโมทสั่งการได้เลยกรณีที่ขี้เกียจเดินมาเปิด หรือจะเอาไว้เตรียมอากาศก่อนที่เราเดินทางมาถึงบ้านก็ได้

และเพราะอนุภาคแต่ละขนาดมีความอันตรายแตกต่างกัน การแสดงผลจึงต้องแตกต่างกันออกไป โดยธรรมชาติคือยิ่งเล็กยิ่งตรวจจับยากและอันตราย ยกตัวอย่างเช่น PM 1.0 ที่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที เพราะขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน การป้องกันทางธรรมชาติอย่าง “ขนจมูก” จะไม่สามารถกรองระดับนี้ได้ และเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับเด็ก ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ

SmartThings

การควบคุมผ่านแอปพลิเคชันสามารถทำได้โดยง่าย ไม่ใช่เพียงแค่บน Samsung Galaxy เท่านั้น แต่แอปพลิเคชัน SmartThings ยังมีทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS หน้าตาใช้งานได้ง่ายมาก สามารถดูสถานะการตรวจสอบฝุ่นและแก๊ส นอกจากนี้ยังสามารถตั้งเวลาสั่งงานเปิดปิดได้อีกด้วย หรือจะใช้เชื่อมต่อ IoT ร่วมกับอุปกรณ์อื่นก็ได้เช่นกัน

หน้าตาของไฟแสดงผลทั้ง 4 ระดับ แดง, เขียว, เหลือง (ไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ดูได้จากด้านบน), ฟ้า ที่บ่งบอกถึงความสะอาดของอากาศ อันนี้ดูแล้วเห็นผลเข้าใจง่ายชัดเจนดี สำหรับหน่วยวัดก็มีตั้งแต่ 01-999 โดยหากขึ้นหลักเดียวก็ถือว่าอากาศดีมากแล้ว แต่หากบ้านของคุณสีแดงเกือบตลอดเวลา แสดงว่าน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างแล้วเพราะมันอันตราย

วิธีเปลี่ยนแผ่นกรอง

การใช้งานเมื่อผ่านไปสักพักอาจประมาณปีนึง หรือมากกว่าน้อยกว่าแล้วแต่ปริมาณการใช้งาน รวมถึงความสะอาดของอากาศ ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแผ่นกรอง Activated Carbon และ HEPA ซึ่งระบบจะมีการเตือนผ่านสัญลักษณ์รูปแผ่นกรองเป็นไฟกระพริบ ส่วนเรื่องอะไหล่ก็ไม่ต้องห่วงเพราะว่า Samsung เป็นบริษัทใหญ่จึงมีฟิลเตอร์ขายอยู่ตลอด

หากเป็นยี่ห้อทั่วไปอาจมีแค่ฟิลเตอร์ HEPA กรองแล้วจบเลย แต่สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมกับ Pre-Filter ที่ใช้กรองอากาศเบื้องต้นก่อน เอาไว้สำหรับกรองฝุ่นขนาดใหญ่เช่นเกสรดอกไม้ ฝุ่นและขนจากสัตว์เลี้ยง ช่วยยืดอายุการใช้งานฟิลเตอร์อื่นได้นานยิ่งขึ้น และตรงส่วนนี้สามารถแกะเพื่อเอาไปล้างทำความสะอาดได้ด้วย เป็นลักษณะคล้ายมุ้งลวดพลาสติกละเอียด

ถัดมาจะเป็น Activated Carbon ที่ใช้ทำหน้าที่ดูดซับก๊าซอันตรายต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น โทลูอีน, ไซลีน, เบนซีน, เอทิลเบนซีน, สไตรีน และฟอร์มัลดีไฮด์ และกลิ่นไม่พึงประสงค์ ติดอยู่กับแผ่นกรอง HEPA กรองฝุ่นอนุภาคเล็กถึงขนาด PM 10, PM 2.5, PM 1.0 และ PM 0.3 ได้มากถึง 99.97% รวมถึงยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย (อันนี้ล้างไม่ได้)

แผ่นกรองฝุ่น Pre-Filter ล้างง่ายด้วยน้ำเปล่าจากนั้นก็เพียงแค่ผึ่งให้แห้ง อายุการใช้งานอันนี้ไม่จำกัดต่างจาก Activated Carbon และ HEPA ที่มาเป็นชิ้นเดียวกันเลยไม่สามารถล้างได้ เวลาเปลี่ยนก็เพียงแค่ซื้อทั้งชิ้นมาเปลี่ยนง่ายด้วยตัวเอง นอกจากแก้เรื่องฝุ่นยังแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ กลิ่นเหม็นอับ กลิ่นสัตว์เลี้ยง อันนี้ใช้ได้ดีมาก

ด้านล่างของ Samsung BLUE SKY มีล้อซ่อนใต้เครื่อง สามารถเคลื่อนย้ายระหว่างห้องได้สะดวก ไม่ต้องกลัวพื้นเป็นรอย เพราะบางครั้งเราอาจไม่ได้ซื้อเครื่องฟอกอากาศทุกห้องในบ้าน บางทีอาจมีแขกมาก็สามารถเลื่อนมาไว้ห้องรับแขกได้ หรือจะนอนเมื่อไหร่ค่อยเลื่อนไปไว้ห้องนอนเพื่อช่วยฟอกอากาศตลอดทั้งคืน ต่างจากหลายรุ่นที่ท้องตลาดที่มักไม่มี

ข้อดี

  1. กรองฝุ่น PM 0.3 ได้มากถึง 99.97%
  2. ไส้กรองสามชั้น Pre-Filter, Activated Carbon, HEPA
  3. ควบคุมไร้สายผ่าน Bixby และ Wi-Fi
  4. ระบบ 3-Way Air Flow ครอบคลุมและเร็วมาก
  5. ตรวจจับแก๊สที่อันตราย (รวมถึงแก๊สรั่วได้)
  6. มีล้อเลื่อนเคลื่อนย้ายสะดวก

ข้อเสีย

  1. ราคาค่อนข้างสูง
  2. แผ่นกรองเป็นชิ้นเดียวกัน (ต้องเปลี่ยนยกชุด)

สรุป

Samsung BLUE SKY AX5500 แสดงประสิทธิภาพการกรองอากาศได้ดี เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถเปลี่ยนอากาศแย่ในห้องให้บริสุทธิ์ รองรับพื้นที่ขนาด 60 ตารางเมตร เพียงพอสำหรับห้องรับแขกขนาดใหญ่ สามารถกรอง PM 10, PM 2.5, PM 1.0 ไปจนถึง PM 0.3 ได้สูงสุดถึง 99.97% พัดลมโดยรวมมีเสียงเบาเงียบสนิท สามารถเอาไปใช้งานในห้องนอนได้อย่างไม่รบกวน