ปัจจุบันกล้องอินสแตนท์ (Instant) ที่หลายคนมักเรียกติดปากว่ากล้องโพลารอยด์ (Polaroid) ซึ่งอันที่จริงมันเป็นเครื่องหมายการค้ามากกว่า มีเจ้าตลาดเพียงเจ้าเดียวที่พอหาซื้อไม่ยากจนเกินไปนักก็คือ Fujifilm แต่การใช้งานก็ตรงตามต้นฉบับของมันเลยคือ ถ่ายเสร็จออกมาเป็นรูปรอสักพักนึงก็จะออกมาเป็นภาพฟิล์ม
Canon iNSPiC
สำหรับกล้องในตระกูล iNSPiC ลักษณะการทำงานก็จะคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกันสักทีเดียวเพราะทาง Canon เพิ่มคุณสมบัติด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ที่แตกต่างกันออกไป ผ่านทางเทคโนโลยีกระดาษ ZINK™ โดยไม่ต้องใช้น้ำหมึก และหลายแบรนด์ก็นิยมใช้กันอย่าง Canon, Brother, HP, LG, Polaroid
iNSPiC มีทั้งหมดกี่รุ่น แตกต่างกันอย่างไร
ในตระกูลของ Canon iNSPiC ในตอนนี้ทำออกมาทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน ตามความต้องการที่แตกต่างกันออกไป สามารถหาซื้อได้ตามร้านกล้องชั้นน้ำหรือแม้กระทั่ง Canon eStore เองก็มีขาย ส่วนราคาก็แตกต่างกันไปตามแต่ละโปรโมชั่น ซึ่งถ้าหากเทียบกับราคาเครื่องแล้วก็ไม่ได้ถือว่าแพงมากมายอะไรนัก
- iNSPiC [S] ราคาพิเศษ 4,990 บาท (ราคาปกติ 5,990 บาท)
- iNSPiC [C] ราคาพิเศษ 2,990 บาท (ราคาปกติ 4,250 บาท)
- iNSPiC [P] ราคาพิเศษ 2,990 บาท (ราคาปกติ 4,250 บาท)
ความแตกต่างก็คือรุ่น “S” จำแบบง่ายก็คือรุ่นแพงความละเอียดสูงกว่า ต่อแอปพลิเคชันมือถือได้ (S) รุ่นถูกลงมาหน่อยคุณสมบัติลดลงมา เน้นการถ่ายแล้วพิมพ์เลย (C) และสุดท้ายถ่ายรูปไม่ได้เน้นต่อมือถือเพื่อพิมพ์อย่างเดียว (P) เอาเป็นว่าหากใครต้องการแบบไหนก็เลือกเอาตามสะดวก และงบประมาณได้เลยครับ
iNSPiC [S] กับ iNSPiC [C] ต่างกันอย่างไร ?
อย่างที่ได้กล่าวขั้นต้นก็คือสองรุ่นนี้มีจุดต่างกันตรงที่เชื่อมต่อแอปพลิเคชันได้กับไม่ได้ หากคุณต้องการถ่ายสนุกขำ ๆ ก็เลือกรุ่น C ก็เพียงพอ แต่หากคุณอยากดึงรูปที่ถ่ายจากกล้องมือถือด้วยก็ควรเลือก S แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกล้องที่ติดมากับเครื่องก็ยังมีความละเอียดต่างกันด้วย
iNSPiC [S]
- ความละเอียดกล้อง 8MP
- ความละเอียดในการพิมพ์ 314*600 dpi
- ทางยาวโฟกัส 25.4 มม.
- รูรับแสง f/2.2
- ระยะโฟกัส 1 ฟุต
iNSPiC [C]
- ความละเอียดกล้อง 5MP
- ความละเอียดในการพิมพ์ 314*500 dpi
- ทางยาวโฟกัส 24 มม.
- รูรับแสง f/2.4
- ระยะโฟกัส 50 ซม.
หากไม่ติดเรื่องราคายังไงไปตัว “S” ก็จะได้สเปกที่สุดกว่าทั้งในเรื่องความละเอียดกล้อง และความละเอียดในการพิมพ์ แต่ส่วนตัวผมว่ากล้องทั้งสองใช้งานจริงคุณภาพก็ยังไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่ หากใครอยากได้ภาพที่สมบูรณ์แบบ เลือกใช้กล้องสมาร์ตโฟนจะทำได้ดีกว่ามาก ๆ
ในส่วนของด้านหลังเหมือนกันทุกประการ และที่ห้ามลืมก็คือรุ่น “C” ไม่สามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันกับสมาร์ตโฟนได้ ก็เท่ากับว่าจะมีความแตกต่างกับรุ่น “S” อยู่เยอะเหมือนกัน แต่ส่วนตัวผู้เขียนรีวิวชอบรุ่น “P” มากกว่าเพราะเน้นแค่พิมพ์อย่างเดียว ไม่หวังคุณภาพจากการถ่ายโดยตรง
นอกจากนี้ก็จะมีสเปกกายภาพต่างกันเล็กน้อย เช่น การควบคุมแฟลชได้กับไม่ได้ (ใช้งานจริงไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่) และทั้งสองสามารถใส่ microSD เพื่อบันทึกภาพที่ถ่ายได้ด้วย เอาไว้โอนถ่ายเข้าคอมพิวเตอร์หรือเก็บสำรองเป็นดิจิทัลไฟล์อะไรก็ว่ากันไป แต่เงื่อนไขการใช้งานยุ่งยากมากถึงมากที่สุด
- หากได้ทำการใส่กระดาษแล้วจะสามารถถ่ายภาพได้โดยไม่ต้องมีการ์ด microSD
- หากไม่ได้ทำการใส่กระดาษจะไม่สามารถถ่ายภาพได้แม้ว่าจะใส่การ์ด microSD
เท่ากับว่าการ์ด microSD ไม่ต้องมีก็ได้ หากคุณต้องการถ่ายแล้วพิมพ์แบบไม่เก็บสำเนา และหากคุณคิดว่าถ่ายไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยเลือกรูปขอบอกว่า “ทำไม่ได้” เพราะตัวกล้องมันไม่ได้มีระบบปฏิบัติการอะไรเลย การใช้งานเป็นเพียงแค่กดถ่ายแล้วพิมพ์ ณ ตอนนั้น (ดูภาพตัวอย่างไม่ได้) เท่านั้นเอง
ทางออกก็คือต้องซื้อรุ่น “S” ที่สามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน Canon Mini Print เพื่อทำการเลือกรูปได้ แต่เอาเข้าจริงหากเรามีสมาร์ตโฟนอยู่ใกล้ตัวอยู่แล้ว เราก็ถ่ายด้วยสมาร์ตโฟนดีกว่าเพราะกล้องและเลนส์พัฒนาไปไกลกว่ากล้องของ iNSPiC ไปเยอะมากนั่นเอง (เป็นอีกเหตุผลที่ผมชอบรุ่น “P” มากกว่า)
ทดสอบใช้รุ่น iNSPiC [S] ก็ใช้งานไม่ยากมาก การทำงานทั้งหมดผ่านแอปพลิเคชันสะดวกกว่า สามารถเลือกภาพและตกแต่งได้เล็กน้อย (แนะนำให้แต่งรูปเตรียมไฟล์จากแอปพลิเคชันอื่นมาให้เสร็จ) แต่ถ้าถ่ายจากกล้องโดยตรงแล้วพิมพ์ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่คุณภาพของกล้องจะไม่สูงเท่ากับสมาร์ตโฟนนั่นเอง
สำหรับรุ่น iNSPiC [C] ขอข้ามรีวิวไปเลย เพราะการทำงานและหลักการโดยรวมไม่ต่างกัน ความน่าสนใจจึงตกไปที่ iNSPiC [P] ที่เป็นเครื่อง Mini Photo Printer ในขนาดที่เล็กไม่แตกต่างกัน สามารถสั่งงานผ่านแอปพลิเคชัน Canon Mini Print ได้โดยตรง รองรับ Android และ iOS ตามสมัยนิยม
สำหรับการชาร์จไฟก็จะผ่านทาง Micro USB ตามด้วยไฟแสดงสถานะการชาร์จ ช่องสำหรับรีเซ็ต นอกจากนี้ก็จะมีที่ห้อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ด้วยครับ แต่เรื่องของแบตเตอรี่อันนี้ต้องเข้าใจนิดนึง ว่าการพิมพ์ใช้พลังงานค่อนข้างสูง และพิมพ์ได้แค่ไม่กี่รูปแบตเตอรี่ก็หมดแล้วครับ ถ้าใช้เยอะควรมีแบตเตอรี่สำรองติดตัวไว้
ใช้งานจริงพิมพ์ง่ายและสะดวกมาก เหมาะกับคนที่ชอบตกแต่งอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากพิมพ์รูปเสร็จแล้ว สามารถลอกกระดาษออกมาเป็นสติกเกอร์ได้ด้วย เรื่องความคมชัดอยู่ในระดับที่น่าประทับใจ สามารถเลือกพิมพ์รูปขนาด 2 x 3 นิ้ว หรือใครชอบจตุรัสก็สามารถพิมพ์ 2 x 2 นิ้ว โดยจะทิ้งขอบขาวไว้ให้ตัด
กระดาษแพงไหม ราคาเท่าไหร่ ซื้อที่ไหน
กระดาษ ZINK Zero Ink สำหรับ Mini Photo Printer สามารถหาซื้อได้ทั่วไป หรือหากใครไม่อยากเสียค่าขนส่งก็ลองสั่ง กระดาษภาพถ่าย กับทาง ShopAt24 ส่งฟรีที่ 7-11 ทุกสาขาทั่วประเทศ และขึ้นชื่อว่า Canon ก็มั่นใจได้ว่ายังคงมีกระดาษขายไปอีกนาน ราคาเฉลี่ยตกรูปละประมาณ 15 บาท ถ้ามีเพื่อนจะขอพิมพ์ก็คิดราคา 20 บาทไปเลยจำง่ายดี (ฮา) เทียบกับราคากระดาษ Instax Mini Film ถือว่าพอกัน
นอกจากจะใช้ถ่ายรูปแล้ว Canon iNSPiC ยังใช้เป็นเครื่องประดับบ้าน หรือเอาไว้ถือเก๋ ๆ เวลาถ่ายรูปได้ด้วย เพราะขนาดมันเล็กน่ารักเหมาะกับการพกพามาก และก็มีให้เลือกหลายสีอยู่ใครชอบซื้อไหนก็ลองไปเลือกซื้อกันดูได้ ซึ่งสีที่ทำออกมาจะดูมีความเป็นวัยรุ่นเป็นอย่างสูง ถ้าใครชอบอยู่แล้วก็อย่าได้ลังเล
โทนสีที่ได้จะออกแนวฟิล์มจ๋าเลย เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งหากใครชอบแนวนี้ ภาพมันจะไม่ใส่กิ๊กสมบูรณ์แบบ แต่จะมีความอมเหลืองเล็กน้อย ลูกเล่นหากสั่งพิมพ์ผ่านแอปพลิเคชัน สามารถเลือกพิมพ์แบบต่อกัน 4 หรือ 9 ภาพเพื่อเป็นภาพใหญ่ (Tile Print) หรือจะพิมพ์หลายภาพในรูปใบเดียว (Collage Print) ก็ได้
ข้อดี
- พิมพ์รูปง่าย สะดวก ไม่ต้องใช้หมึก
- กระดาษเป็นสติกเกอร์ในตัวใช้ตกแต่งได้
- ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
- ชาร์จไฟสะดวกผ่านทาง Micro USB
ข้อเสีย
- แบตเตอรี่หมดเร็วมาก (ควรใช้คู่กับ Power Bank)
- ไม่มีหน้าจอหรือโปรแกรมควบคุมอื่นในตัว
- เน้นถ่ายแล้วพิมพ์ ลูกเล่นเพิ่มเติมยังมีน้อย
สรุป
กล้องถ่ายรูปสติกเกอร์ Canon iNSPiC เหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป ให้ความรู้สึกเป็นความทรงจำที่จับต้องได้ สามารถเอารูปไปแปะตกแต่งได้สารพัดอุปกรณ์ที่ต้องการ เช่น สมาร์ตโฟน, โน้ตบุ๊ก, ฯลฯ เพิ่มเติมเป็นความทรงจำที่แสนจะพิเศษ ส่วนกระดาษ ZINK ก็มีราคาไม่แพงมาก อยู่ในระดับที่สามารถจับต้องได้