ก่อนหน้านี้้เราเคยได้รีวิว My Cloud Mirror ไปเมื่อหลายปีก่อน และในวันนี้ได้มีการออกรุ่นใหม่ WD My Cloud Home Duo ซึ่งมีรูปลักษณ์ดีไซน์ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง และมีการอัปเกรด CPU, RAM, JBOD แบบ One Volume (Max Capacity) และการปรับปรุง Dashboard ในการใช้งาน
WD My Cloud Home Duo
สำหรับความจุก็มีตั้งแต่ 4-16 TB ในราคา 10,500 – 29,900 บาท โดยรุ่นที่เราจะมารีวิวกันในวันนี้เป็นแบบความจุ 8 TB (4 + 4 TB) สำหรับคนที่ไม่แน่ใจเรื่องความจุก็ซื้อเป็นรุ่นเล็กก่อน แล้วค่อยไปอัปเกรด HDD ในอนาคตก็ได้ครับ แต่อันที่จริงราคามันก็ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่ ซื้อทั้งทีซื้อความจุสูงไปเลยก็ไม่เลวเหมือนกัน รับประกัน 2 ปี
สำหรับ My Cloud รุ่นใหม่นี้จะเน้นไปที่การสำรองข้อมูลภายในบ้านตามชื่อ เน้นไปที่การใช้งานที่เรียบง่าย สามารถคัดลอกไฟล์จาก USB หรือ HDD External เพื่อเข้าสู่ My Cloud Home ได้โดยตรง (อันที่จริงรุ่นเก่าก็ทำได้) นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อและโอนถ่ายจาก Social Network รวมถึง Dropbox, Box, Google Drive แถมยังรองรับ Plex ในการสตรีมมิ่งอีกด้วย
อุปกรณ์ในกล่อง
สำหรับอุปกรณ์ที่แถมมาก็ไม่มีอะไรพิเศษมากมาย มีเพียงตัวเครื่อง WD My Cloud Home Duo (พร้อมฮาร์ดดิสก์) แล้วก็สาย LAN มาตรฐานความยาวประมาณ 1 เมตร อะแดปเตอร์พร้อมหัวปลั๊กแบบหลากหลาย สามารถใช้ร่วมกับรุ่นเก่าได้ด้วย นอกจากนี้ที่เพิ่มมาก็จะมี Activation Code จำนวน 9 หลัก เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการติดตั้ง
ตัวกล่องเน้นดีไซน์ความเป็นเหลี่ยม และสำหรับคนที่คิดจะซื้อเฉพาะกล่อง (Box) ขอแสดงความเสียใจด้วย เนื่องจากทาง WD จำหน่ายพร้อมกับ HDD เท่านั้น แต่ทั้งนี้ถึงอย่างไรผู้ใช้งาน ก็สามารถปรับเปลี่ยนอัปเกรดได้ด้วยตัวเองในภายหลัง ตัวเครื่องทำจากพลาสติกล้วน ไฟแสดงสถานะการทำงานจะอยู่บริเวณตรงกลางรอยต่อเครื่อง
ด้านหลังมาพร้อมกับ LAN ขนาด 10/100/1000 Mbps แล้วก็มีช่อง USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต
ด้านบนเป็นฝาสำหรับแกะฮาร์ดดิสก์ สามารถทำทั้งหมดได้ด้วยมือเปล่า (แต่ค่อนข้างลำบากนิดนึง) มีตัวเลขสำหรับแยกหมายเลขของฮาร์ดดิสก์เพื่อความสะดวกในการใช้งาน และนอกจากนี้สิ่งที่เพิ่มเข้ามาอีกก็คือ “พัดลมระบายอากาศ” ขนาดเล็กจำนวน 1 ตัว
แน่นอนว่าฮาร์ดดิสก์ที่ใช้จะเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจาก WD Red ซึ่งออกแบบมาเพื่อ NAS โดยเฉพาะรองรับ NASware 3.0 ขนาดความจุรวม 8 TB (4 + 4 TB) เหมาะสำหรับการใช้งาน 24/7 หรือตลอดวันตลอดคืน
My Cloud Home Duo ต่างจาก My Cloud Mirror อย่างไร
เนื่องจากที่บ้านของผมใช้งาน My Cloud Mirror (ตัวเก่า) อยู่ด้วย เลยถือโอกาสเอามาเทียบกันจะได้เห็นภาพชัด ซึ่งจากสเปคหน้ากล่อง WD ไม่ค่อยจะยอมบอกอะไรมากนัก แต่พอสืบข้อมูลจาก WD Support สรุปใจความได้ดังนี้
- หน่วยประมวลผล Quad Core 1.4 Ghz (ของเก่า Dual Core 1.3 Ghz)
- แรมความจุ 1 GB (ของเก่า 512 MB)
- รองรับ JBOD One Volume (ของเก่า Two Volumes)
นอกนั้นก็จะเป็นพวกรายละเอียดปลีกย่อยอย่าง Dashboard ที่เปลี่ยนไป ส่วนการเข้าถึงจากนอกบ้านยังคงสามารถทำได้เช่นเคย มีแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนที่มีชื่อว่า My Cloud Home ที่รองรับทั้ง Android และ iOS ส่วนบนคอมพิวเตอร์ก็มี Desktop Sync
ด้านหลังก็มีเหมือนเดิม 100% เพียงแต่แค่สลับตำแหน่งกันหน่อย แล้วก็เพิ่มพัดลมระบายอากาศ
เวลาใช้งานจริงจะมีไฟสีขาวเพื่อแสดงสถานะ ดูกลมกลืนไปกับบ้านสมัยใหม่
ทางเข้าของ My Cloud Home จะแตกต่างอย่างชัดเจนกับรุ่นก่อน สำหรับขั้นตอนก็ไม่ยากเพียงแค่เข้าเว็บไซต์ www.MyCloud.com จากนั้นเลือกให้ตรงกับรุ่นของตัวเอง หรือหากใครใช้สมาร์ทโฟนก็สามารถเข้าผ่านแอปพลิเคชัน Android หรือ iOS ได้เช่นกัน
เมนูการเชื่อมต่อผ่านเว็บไซต์ สามารถใช้งานได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน หลัก ๆ เลยก็คือการจัดการไฟล์ไม่ว่าจะเป็นการอัปโหลดหรือลบไฟล์ สามารถแชร์ไฟล์เดอร์หรือไฟล์ได้โดยตรง ผ่านทางหน้าต่างเว็บไซต์ www.mycloud.com โดยจะได้มาเป็น URL ไม่ต้องผ่านการแชร์ User
หรือจะเลือกแชร์เป็นรูปแยกทีละไฟล์ก็ได้เช่นกัน โดยระบบจะเลือกแยกประเภทภาพและวิดีโอให้เลย นอกจากนี้ยังแบ่งตามช่วงเวลาในรูปแบบ Timeline คล้ายกับใน Facebook ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
Social and Cloud import
นอกจากนี้ WD My Cloud Home Duo ยังได้มีคุณสมบัติในส่วนของ Services ที่น่าเศร้าตรงที่ไม่สามารถเพิ่มเติมอะไรเองได้ภายหลัง (ใช้ได้แค่เท่าที่มี) ซึ่งทั้งหมดนี้ประกอบไปด้วย
- Plex ระบบดูหนังฟังเพลงที่ใช้ได้กับหลากหลายอุปกรณ์
- Social and Cloud import สำรองไฟล์ทั้งหมดในที่เดียว
- My Cloud Alex สั่งเล่นเพลงด้วยเสียง (รองรับเฉพาะอังกฤษกับอเมริกา)
- IFTTT ระบบสร้างชุดคำสั่งง่าย ๆ ที่สร้างได้สารพัดเงื่อนไข
- Sonos เชื่อมต่อเพลงกับลำโพง (รองรับเฉพาะอังกฤษกับอเมริกา)
- Network Import ย้ายข้อมูลจาก NAS อื่นมาเครื่องใหม่
หลายคุณสมบัติแทบไม่ได้ใช้งาน แต่ส่วนตัวผมติดใจ Social and Cloud import ซึ่งเราสามารถ Sync หรือสำรองข้อมูลจาก Dropbox, Google Drive, OneDrive, Box และ Facebook มาไว้ใน NAS ของเรา
ส่วนสำหรับแอปพลิเคชัน My Cloud Home มีทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ซึ่งการใช้งานก็ปกติทั่วไปคือมี Auro Backup ทันทีที่เราเข้าบ้านก็สามารถสั่งสำรองรูปภาพและวิดีโอผ่าน Wi-Fi ทำให้สมาร์ทโฟนของเราเหลือพื้นที่มากยิ่งขึ้น (เวลาจะใช้งานก็ค่อยไปโหลดออกมา) สามารถค้นหาและจัดการไฟล์ได้อย่างสวยงาม
ข้อดี
- ใช้งานง่าย ตั้งค่าไม่เยอะ
- ได้ฮาร์ดดิสก์เฉพาะ NAS อย่างรุ่น WD Red
- มีช่อง USB 3.0 ถึงสองพอร์ต
- บริการเสริมอย่าง Social and Cloud import และ Plex
ข้อเสีย
- ราคาค่อนข้างสูง
- บริการเสริมน้อยไปนิด และติดตั้งเพิ่มไม่ได้
สรุป
เดี๋ยวนี้อินเตอร์เน็ตบ้านความเร็วเริ่มต้นก็ขั้นต่ำ 30 Mbps เป็นมาตรฐานกันไปแล้ว ทำให้การใช้งาน NAS ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงจากนอกบ้านสักเท่าไหร่ เทียบกับผู้ให้บริการ Cloud ทั่วไปสะดวกก็จริง แต่มีความจุให้ใช้งานน้อยแถมราคาต่อเดือนยังค่อนข้างเป็นการสิ้นเปลือง WD My Cloud Home Duo จึงเหมาะกับผู้ใช้งานตามบ้านที่ต้องการสำรองรูปภาพหรือวิดีโอ และอยากเข้าถึงได้ตลอดเวลา
ขอขอบคุณ WD Thailand ที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ส่งมาให้รีวิว