ZTE Blade S7 เลือกประเทศไทยเป็นที่แรกในโลกเพื่อเปิดตัว สมาร์ทโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับวัสดุอลูมิเนียมอัลลอยด์ซึ่งดูเหมือน ZTE ดูเหมือนจะใส่ใจกับงานประกอบและดีไซน์เป็นพิเศษ แถมยังจัดเต็มฟีเจอร์ด้วยกล้องหน้าและหลังถึง 13 ล้านพิกเซล (แถมยังมี Laser Auto Focus ให้ด้วย) นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นเหมือนตัว TOP ไม่ว่าจะเป็น Finger Scan และ Retina Scan สุดล้ำ!
ZTE Blade S7
เปิดตัวก่อนใครในโลกที่ประเทศด้วย ราคา 11,900 บาท มาพร้อมกัน 4 สี (เขียวมะนาว, ดำ, ทอง, ขาว) เน้นไปที่ตัวเครื่องสุดบางและวัสดุที่หรูหราทั้งตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์หรือกระจกโค้งแบบ 2.5D ทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลัง โดดเด่นล้ำเหนือใครด้วยเลเซอร์โฟกัสและเทคโนโลยีสแกนม่านตา
สเปค | ZTE Blade S7
- ระบบปฏิบัติการ Android 5.1 ครอบทับด้วย MiFavor 3.2 UI
- รองรับ 4G ทั้งสองซิมในทุกเครือข่าย
- หน้าจอขนาด 5″ (1920 × 1080 พิกเซล)
- หน่วยประมวลผล Snapdragon 615 1.5 Ghz
- แรม DDR3 3 GB
- รอม 32 GB (รองรับ microSD สูงสุด 64 GB)
- กล้องหน้า 13 MP + Flash LED
- กล้องหลัง 13 MP + Flash LED (พร้อม Laser Auto Focus)
- รองรับสแกนลายนิ้วมือ, สแกนม่านตา
- แบตเตอรี่ 2,500 mAh (ถอดเปลี่ยนไม่ได้)
- น้ำหนัก 131 กรัม
จุดสังเกตอย่างหนึ่งของรุ่นนี้คือมี ราคาเปิดตัวที่ค่อนข้างสูงถึง 11,900 บาท แต่กลับไม่มีฟีเจอร์ที่มหาชนต้องการอย่าง Wireless Charging, NFC และเบื้องต้นที่ทดสอบรีวิวไปนั้นไม่รองรับ WiFi 5 Ghz อีกด้วย (ดังนั้นตัดเรื่อง Wireless-AC ทิ้งไปได้เลย) แต่เมื่อเทียบกับ Blade S6 รุ่นนี้ถือว่าบางลง 13%
ตัวเครื่องมาพร้อมกับที่ชาร์จและสายชาร์จ แต่ไม่มีหูฟังซึ่งก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ (เดี๋ยวนี้เจอบ่อยไม่ว่าจะเป็น Xiaomi, Meizu, ZTE เป็นเหมือนกันหมด)
สัมผัสแรกที่รู้สึกได้คืองานประกอบที่ดีเยี่ยม มันไม่ได้เป็นเพียงแค่สมาร์ทโฟนธรรมดา แต่มันเป็นเหมือนกับงานศิลปะ (ว่าไปนั่น – -*) แต่ก็ดีแหล่ะเพราะขนาดเล็กจับถนัดมือ มันทำให้ผมนึกไปถึงสมัย iPhone 5 ที่รู้สึกเหมือนว่าอะไรมันก็ลงตัวไปหมด
ด้านหลังมีให้เลือกหลายสีก็จริง แต่ดูเหมือนว่าสีเขียวมะนาวจะสวยที่สุด
ด้านล่างเป็นพอร์ตสำหรับเสียบ Micro USB แล้วก็ช่องลำโพงจริงหนึ่งข้าง ลำโพงหลอกอีกหนึ่งข้าง (ไม่ต้องตกใจไอโฟนก็เป็นแบบนี้) สำหรับเรื่องเสียงก็ไม่ถึงกับดังเวอร์อลังการมาก คุณภาพพอไปวัดไปวากับความดังระดับปานกลาง
ตรงนี้จะเป็นช่องเสียบซิมการ์ดทั้ง 2 ช่อง โดยช่องหนึ่งจะเป็นช่องในซิมแบบ Nano SIM รวมถึงรองรับ microSD ในตัวด้วย (เป็นแบบ 2-in-1 ที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) ส่วนอีกช่องจะเป็นแบบ Micro SIM
ด้านบนจะเป็นเพียงช่องเสียงหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. และถัดไปจะเป็นรูไมโครโฟนเพื่อตัดเสียงรบกวน รวมถึงใช้ในการถ่ายวิดีโอ
ส่วนอีกฝั่งจะเป็นแบบเรียบซึ่งตรงขอบให้สัมผัสที่ดีมาก อลูมิเนียมอัลลอยด์จับแล้วรู้สึกแข็งแรงดี ตัวเครื่องงานประกอบเนี๊ยบและดีมากจนถึงมากที่สุด แทบจะไม่มีเรื่องให้ติเลยสำหรับดีไซน์
ด้านหลังเรียบเนียนสนิทแบบไม่มีรอยต่อ ตรงมุมจะรู้สึกโค้งเล็กน้อยเพราะเป็นกระจกโค้ง 2.5D เหมือนกับ iPhone 6 สำหรับกล้องตัวนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะมีแฟลช LED แล้วยังมี Laser Auto Focus ช่วยในการจับภาพอีกด้วย
ด้วยความที่เป็นกระจก Gorilla Glass 3 คุณจึงไม่ต้องซีเรียสกับรอยบนหน้าจอ (แต่ถึงซีเรียสไปก็เท่านั้นเพราะรุ่นนี้หาฟิล์มติดยากมาก) แต่เท่าที่ผมรีวิวไปเกือบเดือนก็ยังไม่เจอริ้วรอยอะไรบนหน้าจอมาให้เห็นนะ จะมีก็เพียงแค่รอยขนแมวที่เกิดจากอลูมิเนียมด้านข้างเท่านั้นเอง
ใช้งานจริง | ZTE Blade S7
ส่วนติดต่อผู้ใช้นั้นเป็น MiFavor 3.2 UI ที่ลดความน่าเบื่อของ Android 5.1 ไปได้พอสมควร เรื่องแอปพลิเคชันด้านบนเป็นแบบเดิม ๆ มาจากโรงงานเลยครับ (สามารถลบออกได้) นอกจากนี้ ZTE ยังภูมิใจที่จะนำเสนอ “เกสเจอร์ในขณะปิดหน้าจอ” เช่น ผู้ใช้สามารถวาดตัว A, B, C, D, … บนหน้าจอเพื่อเปิดคำสั่งต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการเขย่าหน้าจอสองครั้งเพื่อเปิดไฟฉาย เป็นต้น (ใครเคยใช้ OPPO มาน่าจะพอเข้าใจดี)
ตรงเรื่องของพื้นหลังหน้าจอมีลูกเล่นเล็กน้อยตรงที่เราสามารถ Pick Color สีจากสิ่งรอบตัวมาได้ (ผ่านการถ่ายรูปบนกล้องของเรา) โดยสามารถทำได้โดยการกดปุ่ม Recent App ที่บริเวณข้างปุ่ม Home แต่ตรงนี้ UI ออกแบบมาได้ขัดใจตรงที่
กดแล้วโดนง่ายเกินไป (แทนที่จะกดแล้วได้สลับแอปฯ) ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คนเราจะเปลี่ยนพื้นหลังอะไรบ่อยขนาดนั้น
ส่วนใครต้องการสลับแอปฯ คือต้องกดปุ่ม Recent App ค้างไว้แทนครับ อ้อ … แล้วก็เพิ่มอีกเรื่องนึงคือปุ่ม Back และ Recent App ไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ บนหน้าจอ (ถ้าคนใช้บ่อยคงไม่มีปัญหา) และที่สำคัญยังสามารถสลับปุ่มซ้ายขวาได้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นยังไงคุณก็หนี Pick Color ไม่ได้อยู่ดี – -*
สำหรับเรื่องความปลอดภัย ZTE Blade S7 มีสแกนลายนิ้วมือ ซึ่งทำออกมาได้ดีและไวมาก (แค่แตะก็เข้าถึงได้เลยไม่ต้องรูดนิ้ว) และนอกจากนี้ยังมีสแกนม่านตา Sky eye ซึ่งทางบริษัทคุยว่าสามารถแยกออกกระทั่งฝาแฝดเลยทีเดียว ส่วนตัวก็คิดว่าล้ำและน่าสนุกดีครับแต่คงเป็นได้แค่ “ของเล่น” เพราะสแกนลายนิ้วมือมันเร็วกว่ากันมาก
หน่วยประมวลผล Snapdragon 615 ที่หลายคนอาจไม่ค่อยชอบ แต่ก็ถูกชดเชยด้วย RAM DDR3 3 GB และเมื่อวัดคะแนนด้วย AnTuTu ออกมาได้ประมาณ 35,000 คะแนน อาจดูน่าผิดหวังไปสักเล็กน้อยเพราะ Lenovo K3 Note กลับทำคะแนนได้มากกว่าเป็นหมื่นทั้งที่ราคามันถูกกว่าถึงครึ่ง แต่พอได้ใช้งานจริงก็ลื่นไหลประมาณนึงไม่ถึงกับหน่วงจนน่าอึดอัด เพียงแต่ว่าเราอาจคาดหวังเอาไว้สูงเกินไป
กล้องหลัง | ZTE Blade S7
มีอะไรให้เล่นเยอะพอสมควรครับ สามารถปรับความเร็วชัตเตอร์ได้ (ดูจากภาพด้านบนที่หยุดบิ๊กไบค์ได้ด้วย) แต่ตัวกล้องอาจมีปัญหาเรื่องการปรับแสงเล็กน้อย แต่คุณภาพโดยรวมถือว่าโอเคครับไม่ขี้เหร่
กล้องหน้า | ZTE Blade S7
แรกเริ่มเดิมทีค่อนข้างคาดหวังไว้กับ 13 MP แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว “ความละเอียดไม่ใช่ทุกสิ่ง” ภาพที่ได้ไม่ถึงกับดีมากเท่าไหร่ (อันที่จริงมีโหมดหน้าเนียนด้วยแต่ไม่ได้เปิด เพราะอยากลองทดสอบไฟล์ต้นฉบับ) ส่วนลูกเล่นพวกชูสองนิ้วหรือยิ้มเพื่อถ่ายภาพ ZTE Blade S7 มีให้ครบเลยทีเดียว
ข้อดี
- วัสดุพรีเมี่ยม งานประกอบเนี๊ยบ
- รองรับ 4G ทั้งสองซิมและทุกเครือข่าย
- หน้าจอสวยและคมชัด (มาก)
- สแกนนิ้วมือใช้งานได้จริงและเร็ว
ข้อเสีย
- ราคาค่อนข้างสูง
- เครื่องยังมีหน่วงอยู่บ้าง
สรุป
ดีไซน์เทพ วัสดุระดับพระเจ้า! หากคุณเป็นคนชอบสมาร์ทโฟนที่สวยงามโดยไม่เกี่ยงราคา หรืออาจเป็นแฟนของ SONY Xperia เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว น่าจะหลงรักเจ้า ZTE Blade S7 ได้ไม่ยาก แต่ถ้าคุณสนใจเพียงแค่สเปคเครื่องอย่างเดียว ด้วยราคาช่วงนี้ในตลาดยังมีตัวเลือกอีกเยอะ แต่ถ้าคุณต้องการสมาร์ทโฟนสองซิมที่รองรับ 4G ทุกเครือข่ายทั้งคู่ ตัวนี้ก็น่าจะตอบโจทย์เป็นอย่างดี
ขอขอบคุณ : ZTE Thailand ที่เอื้อเฟื้อส่งสินค้ามาให้รีวิว