ปีนี้กระแสมาแรงมากสำหรับการดูแลสุขภาพ (แถมเทรนด์จักรยานด้วย) หลาย ๆ แบรนด์เริ่มหันมาทำตลาดด้านนี้กันมากขึ้นอย่าง Wearable Technology ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในสมาร์ทโฟนและนาฬิกาข้อมือ และวันนี้เราจะมาแนะนำหูฟังบลูทูธสำหรับออกกำลังกายอย่าง Plantronics BackBeat FIT กันครับ
Plantronics BackBeat FIT ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 4,490 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ บริษัท ซิสเท็ม 2000 จำกัด ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการหรือตามร้านขายอุปกรณ์เสริมชั้นนำใกล้บ้านท่าน
ก่อนหน้านี้มี เก็บตกงานเปิดตัว Plantronics Voyager Edge และ Backbeat Fit หลายคนก็เริ่มถามกันแล้วว่า BackBeat FIT จะเริ่มจำหน่ายเมื่อไหร่? ในตอนนี้มีวางจำหน่ายทั่วประเทศแล้วครับ สีเขียวและสีฟ้าที่สำคัญสะท้อนแสงและสีเจ็บทั้งคู่เหมาะกับวัยรุ่นเป็นอย่างมาก
BackBeat FIT สามารถฟังเพลงได้ถึง 8 ชั่วโมง สนทนา 6 ชั่วโมง และสแตนบายได้ถึง 14 วัน ส่วนเข้าโหมดหลับลึก (คล้าย ๆ ปิดเครื่องแต่ก็ไม่ได้ปิดซะทีเดียว) ได้ถึง 180 วัน มีน้ำหนักเพียงแค่ 24 กรัมเท่านั้น แถมยังกันน้ำด้วยเทคโนโลยีเคลือบ P2i โดยทาง Plantronics ได้คุยว่ามันไม่ใช่แค่กันเหงื่อ มันสามารถใช้ใส่ลุยฝนหรือแม้กระทั่งการสาดของเครื่องดื่มเวลาวิ่งมาราธอนได้เลยทีเดียว
สามารถใช้งานได้ในทุกระบบปฏิบัติการ Android, iOS แถมยังได้รับ MFi จาก Apple อย่างเป็นทางการอีกด้วย ส่วนตัวผมไม่ได้ลองกับพวก Blackberry และ Windows Phone แต่ก็เชื่อว่าคงจะใช้ได้เหมือน ๆ กันรวมถึงพวก Notebook ด้วย
สวยตั้งแต่เปิดกล่อง
BackBeat FIT มีการออกแบบที่สปอร์ตเอามาก ๆ เมื่อดูจากลาย แถมข้างในกล่องก็ทำมาสวยมากผมล่ะชื่นชมคนออกแบบบรรจุภัณฑ์จริง ๆ
อุปกรณ์ที่แถมมาก็มี BackBeat FIT, สาย Micro USB, ซองเก็บหูฟังและคู่มือการใช้งาน
ซองเก็บหูฟังที่ไม่ธรรมดา
วัสดุที่ใช้ทำซองเก็บหูฟังดูทนทานมากผิดปกติราวกับไม่ใช่วัสดุบนโลกใบนี้ (ว่าไปนั่น) แถมยังสามารถกันน้ำได้ด้วยอีกต่างหาก
ด้านหลังมาช่องปริศนาอยู่ไม่รู้เป็นช่องเก็บเงินซ่อนเมียที่ผู้บริหาร Plantronics เข้าใจถึงหัวอกผู้ชายทั่วโลกหรืออย่างไร
แอ่นแอนแอ๊นนนน … ด้านในสามารถพลิกกลับด้านออกมาได้เพื่อเปลี่ยนที่เก็บหูฟังธรรมดา ๆ มาเป็นที่ล็อคแขน (Armband) นั่นเอง สำหรับวัสดุยอมรับว่าเหนียวโคตรพ่อโคตรแม่เลยครับ คงอยู่ได้เป็นปี ๆ เผลอ ๆ ตัวหูฟังพังแล้วที่ล็อคแขนยังไม่เปื่อย
ที่ล็อคแขนถูกออกแบบมาให้สามารถใช้ได้กับคนกล้ามโตอย่าง “อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์” (หรือใหญ่กว่า) แต่สำหรับผู้หญิงที่ผอมเวอร์ ๆ และแขนเล็กเวอร์ ๆ บอกเลยว่าใส่ลำบาก ขนาดแฟนผมแขนเล็ก ๆ ก็ยังใส่ไม่ค่อยอยู่เหมือนกัน (พยายามดึง ๆ ดัน ๆ แล้วก็พอได้อยู่)
ด้านในเป็นขนาดกำลังพอดีสามารถใส่สมาร์ทโฟนทั่ว ๆ ไปได้อย่างสบาย แต่ถ้าเป็นตระกูล Galaxy Note อาจใหญ่เกินไปครับ
ควบคุมง่ายในตัว
บนตัว BackBeat FIT สามารถปรับเสียง +/- รวมถึงรับสายและควบคุมเพลงได้ในตัว แทบไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเลยทีเดียว ส่วนวิธีควบคุมขอไม่พูดถึงเพราะในคู่มือมีนั่นเองครับ
ตัวหูฟังเป็นซีลแบบกันน้ำไปจนถึงรูหูช่วยป้องกันน้ำได้อย่างดี รวมถึงติ่งที่ห้อย ๆ มาด้านข้างทำให้มันเกี่ยวกับหูได้แน่นยิ่งขึ้นครับ
มาดูกันเรื่องความแข็งแรงในฐานะที่เป็นคนบ้าพลังและชอบออกกำลังกาย หลายครั้งก็เจออุบัติเหตุตกหล่นบ่อย ๆ รวมถึงการขาดของสายหูฟัง (โดยเฉพาะสายของ Apple นี่เบื่อมาก ขาดจนเปลี่ยนบ่อยกว่าอัพเดท iOS ซะอีก) ตัว BackBeats FIT วัสดุเหนียวมาก ๆ ครับ ถูกใจเป็นอย่างยิ่ง
การชาร์จไฟสามารถทำได้ผ่านช่องเล็ก ๆ ที่ซ่อนไว้ของ BackBeat FIT เป็น Micro USB สามารถใช้กับสายมาตรฐานได้ทั่วไป เวลาชาร์จจะมีไฟบอกและเมื่อเต็มแล้วก็จะมีไฟแจ้งเตือนครับ สำหรับเวลาชาร์จอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง
รองรับการอัพเดทเฟิร์มแวร์
BackBeat FIT มีแอปฯ รองรับในการอัพเดทเฟิร์มแวร์ (Firmware) ใน iOS (คิดว่าใน Android ก็คงมี) ช่วยให้เราอัพเดทเฟิร์มแวร์ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องผ่าน PC เหมือนปกติ ถามว่าการอัพเดทดีอย่างไร? บางครั้งมีอุปกรณ์ใหม่ ๆ มาแล้วมันไม่รู้จักหรือมีปัญหา ทางผู้ผลิตก็สามารถส่งเฟิร์มแวร์มาแก้ไขให้ได้ เรียกว่าเป็นบริการหลังการขายก็ว่าได้ครับ
สำหรับคนใช้งานบน iOS จะวิเศษกว่าเพื่อนตรงที่มีสถานะเช็คแบตเตอรี่ให้เฉพาะด้านบนหลังเครื่องหมาย Bluetooth ซึ่งถ้าเป็น Android ต้องโหลดแอปฯ หรือ Widget เพิ่ม ถามว่าแปลกตรงไหน? ส่วนใหญ่ที่ผมใช้งาน Bluetooth Headset ไม่เคยเจอครับ เว้นแต่ว่าตัวนั้นได้ MFi จาก Apple (พูดง่าย ๆ ก็คือทำให้ผ่านมาตรฐานเค้าแล้วก็จ่ายเงินนั่นแหล่ะ)
ทดสอบใช้งานจริง
สามารถใช้โทรศัพท์, ฟังเพลงหรือดูหนังได้ตามปกติ (จะมีสัญลักษณ์ให้เลือกว่าจะให้เสียงผ่านลำโพงเครื่องหรือหูฟัง) การใช้งานไม่ค่อยอึดอัดเท่าไหร่นัก เวลาใส่แล้วไม่ได้ปิดเสียงรอบข้างแบบ 100% (ซึ่งมันก็ดีสำหรับคนวิ่งแบบ Outdoor) เสียงที่ได้ถือว่าดีครับแต่ไม่เท่าหูฟังเทพ ๆ ซักเท่าไหร่ ถ้าหูฟังที่แถมกับ iPhone 5s คือ 100 ผมให้ BackBeat FIT ซักประมาณ 150
BackBeat FIT มีไดร์เวอร์ขนาด 13 มม. รองรับการเข้ารหัสเสียง HQ custom SBC codec และเทคโนโลยี Bluetooth 3.0 รองรับ A2DP, AVRCP
เสียงที่ได้ค่อนข้างที่จะ Clear ฟังได้ชัดครบทุกย่านอย่างไม่หนักหน่วงมากนัก เบสมีอยู่บ้างให้พอสนุกแต่ไม่ถึงกับแน่น เพลงที่เหมาะจะใช้กับหูฟังตัวนี้คงเหมาะกับเพลงทั่ว ๆ ไปมากกว่า ไม่มีอะไรโดดเด่นเฉพาะทางมากนัก แต่บอกได้เลยว่าเสียงที่ได้นั้นดีกว่า Bluetooth Heatset หลายตัวในตลาดครับ
เวลาโทรก็สามารถเลือกได้เลยว่าจะสนทนาผ่านตัวไหน แถมยังมีคำสั่งแจ้งเตือนด้วยเสียงพูด เช่น สามารถสนทนาได้อีก xx ชั่วโมง, สัญญาณหลุด, มีสายเข้า, ฯลฯ
นอกจากนี้เห็นลายบนหูฟังด้านหลังไหมครับ? มันถูกออกแบบมาเพื่อให้สะท้อนกับแสงไฟ (นึกถึงเสื้อจราจรและคนกวาดถนน) ทำให้เวลาเราวิ่งรถจะมองเห็นเราชัดขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ถ้าลดอุบัติเหตุได้ซัก 0.1% มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีถูกไหมครับ?
จากการออกแบบหูฟังทาง Plantronics พิถีพิถันมาก ๆ มีการใช้ตัวอย่างหูจากคนทั่วโลกด้วยวัยและขนาดที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างสรรค์หูฟังที่ใส่ได้กับคน “ส่วนใหญ่” โดยไม่ทำให้รู้สึกว่าอึดอัด
การใส่แรก ๆ อาจลำบากหน่อยเพราะรูหูฟังไม่เหมือนรูปกติทั่วไป แต่พอสวมได้ก็รู้สึกได้ถึงความพอดีขนาดที่ว่า “โดนตบกบาลหรือสิบล้อชนก็ไม่หลุด” น้ำหนักส่วนใหญ่อยู่บนใบหูเฉลี่ย ๆ กันไปเลยไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด
ที่ล็อคแขนเป็นหนึ่งในลูกเล่นที่ผมชอบมากที่สุด เพราะคนไปออกกำลังกายก็คงไม่อยากพกอะไรเกะกะอยู่แล้ว ตรงนี้เราสามารถเก็บได้ทั้งสมาร์ทโฟน, กุญแจรถหรือแม้กระทั่งเงินติดตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ แถมไม่ต้องซื้อเพิ่มอีกเพราะซื้อแยกราคาก็ร่วมพันหรือหลายร้อยอยู่นะ
ข้อดี
- ที่เก็บหูฟังแปลงเป็นที่ล็อคแขนได้
- กันน้ำและเหงื่อได้เป็นอย่างดี
- น้ำหนักเบาเพียง 24 กรัม
- สแตนบายนานถึง 14 วัน และหลับลึกได้ถึง 180 วัน
ข้อเสีย
- ราคาค่อนข้างสูง
- ไม่มี NFC
สรุป
ราคาถึงแม้จะแพงแต่ก็คุ้มค่าเพราะ Plantronics คือเบอร์ 1 ของวงการ Bluetooth Headset เสียงที่ได้ไม่ขี้เหร่แถมยังแปลงที่เก็บหูฟังเป็นที่ล็อคแขนได้อีกด้วย (ประหยัดไปหลายตังค์) คุณสมบัติที่กันน้ำและเหงื่อได้เป็นอย่างดี (แต่ห้ามเอาไปแช่น้ำนะ) หากคุณต้องการเสียเงินครั้งเดียวจบ ไม่ชอบปัญหาจุกจิกกวนใจเช่น ใส่แล้วเจ็บบ้าง, แบตเตอรี่หมดไวบ้าง, ฯลฯ แนะนำตัวนี้เลยครับครั้งเดียวจบ