จากข่าวเปิดตัวหูฟัง Vivo TWS Neo ด้วยราคาเพียง 2,999 บาท แต่ได้เทคโนโลยีจัดเต็มในระดับคุณภาพสตูดิโอ พร้อมชิปควบคุม Qualcomm ให้ประสบการณ์ฟังเพลงที่ดีที่สุด ปิดทุกข้อเสียของหูฟังไร้สาย มาพร้อมกับความเสถียรไม่ต่างจากหูฟังมีสาย และยังได้เรื่องของดีไซน์ทันสมัยเหมาะกับการใช้งาน อ่านรีวิวล่าสุด

1. เพราะวีโว่คือผู้นำด้านเสียง

ถึงแม้ว่า TWS Neo จะเป็นหูฟังรุ่นเดียวที่ขายในตอนนี้ แต่หากมองการพัฒนาสมาร์ตโฟนวีโว่ ล้วนแต่มีจุดเด่นที่ “เสียงเพลง” ตั้งแต่รุ่น Vivo X3S ที่มีชิปประมวลผลเสียงแบบ ESS Hi-Fi และตัวถอดรหัสเสียง DAC ES9018 MK2 มาจนถึงตระกูล Xshot, Xplay 3S, X5 Max ก็ล้วนมีจุดเด่นด้านชิปเสียงทั้งสิ้น โดยล่าสุด Vivo NEX 3 ก็ยังคงมีชิปเสียง AK4377A ระบบเสียง Hi-Fi จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า วีโว่เองก็เชี่ยวชาญด้านเสียงไม่แพ้กล้อง

2. ไดรเวอร์ใหญ่ที่สุดหากเทียบกับคู่แข่ง

หูฟังเลือกใช้ไดร์เวอร์แบบไดนามิก (Dynamic Driver) ที่มีขนาดใหญ่ถึง 14.2 มม. เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีขนาดเพียง 7.2 มม. หรือใหญ่สุดก็เพียงแค่ 11.2 มม. ทำให้เกิดความแตกต่างในเรื่องของประสิทธิภาพเสียงที่มากขึ้น และนอกจากไดร์เวอร์แบบไดนามิกขนาด 14.2 มม. วีโว่ยังมีการเลือกใช้ทองแดง Daikoku คุณภาพดี จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อที่จะให้ความถี่ต่ำและคุณภาพเสียงสมบูรณ์

3. เทคโนโลยี aptX Adaptive คุณภาพเหมือนต้นฉบับ CD

aptX เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถบีบอัดและขยายเสียงเมื่อเดินทางจากอุปกรณ์ไปยังลำโพง หรือหูฟังไร้สายผ่านทาง Bluetooth เพื่อที่จะไม่สูญเสียคุณภาพ (เหมือนฟังจากต้นฉบับ CD) และสำหรับ Vivo TWS Neo มาพร้อมกับ aptX Adaptive (aptX มีหลายมาตรฐาน) ที่เหนือกว่าด้วยเข้ารหัสเสียงนี้เก็บรักษาข้อมูลเสียงได้มากกว่าหูฟังไร้สายแบบเดิมถึง 1.5 เท่า โดยมีคุณภาพอยู่ที่ 48KHz / 24bit สูงกว่าค่ามาตราฐาน Audio CD ที่ 44.1KHz / 16bit

4. เทคโนโลยี Deep X คุณภาพเสียงสมจริง

อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าวีโว่เองก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านเสียง จึงได้คิดค้นและพัฒนา Deep X ให้เสียบแบบ Deep Field คมชัดทุกย่านเสียง ต่างจากหูฟังทั่วไปที่จะโดดเด่นเฉพาะบางย่าน (สูงบ้าง, กลางบ้าง, ต่ำบ้าง) แต่ยากที่จะคมชัดในทุกย่านโดย Deep X ให้ความถี่ 1000-3000Hz ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

  • เบสหนัก เสียงเบสหนักแน่นขึ้น ตอบสนองต่อไดนามิคได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มอรรถรสในการฟังเพลงได้คมชัดเสมือนอยู่ในสตูดิโอ
  • เสียงกลางชัด มีมิติ เสียงคมชัด ละเอียดสมบูรณ์แบบ ไม่มีสะดุด
  • เสียงสูงใส เสียงคมชัด สมจริง

โดยรวมแล้วจะเป็นการปรับแต่งเสียงย่าน Bass, Vocal และ Treble นั่นเอง และก็มีการใช้เทคโนโลยี AI ร่วมกับระบบตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ SmartSound เพื่อให้สามารถใช้งานฟังเพลง และคุยโทรศัพท์ได้เสียงที่ชัดเจนมากที่สุด ทั้งในส่วนของปลายสายก็จะได้ยินเราชัด ส่วนเราก็ฟังเสียงได้อย่างไม่มีการรบกวน

5. ดีเลย์ต่ำ 88 มิลลิวินาที

ตัวหูฟังมีการเลือกใช้เทคโนโลยี Bluetooth 5.2 ใหม่ล่าสุด ต่างจากหูฟังบลูทูธทั่วไปที่มักมีปัญหาเรื่องดีเลย์ ซึ่งเทคโนโลยีล่าสุดวีโว่เลือกใช้ลำโพงไดนามิกแบบพิเศษ รวมถึงการใช้ Flexible Printed Circuit เสียงคมชัด สมจริงค่าความหน่วงต่ำถึง 88 มิลลิวินาที (88ms) แบบเดียวกับหูฟัง Hi-End เท่านั้นไม่พอยังมีการผสมผสานเทคโนโลยี AI Dynamic ระบบตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ SmartSound มาติดตั้งไว้ในตัวหูฟังพร้อมกัน

6. ใช้งานง่ายปรับเสียงได้ในตัว

โดยปกติหูฟังจะไม่สามารถปรับเสียงได้ในตัว เวลาควบคุมก็ต้องคอยหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมา (อย่างมากก็ทำได้แค่แตะเพื่อเล่นเพลงหรือข้ามเพลง) แต่สำหรับหูฟังรุ่นนี้มีระบบสัมผัสที่หูฟังทั้งสองด้าน สามารถสไลด์เพื่อเพิ่มเสียงหรือลดเสียงได้ นอกจากนี้คุณสมบัติพื้นฐานก็ยังมาครบ เช่นการถอดหูฟังแล้วเพลงหยุด หรือการหาพิกัดล่าสุดของหูฟังผ่านทางบลูทูธ ส่วนน้ำหนักก็เพียงแค่ 4.7 กรัม เชื่อมต่อหูฟังติดง่ายด้วย Instant Connection และกันน้ำ IP54

7. แบตเตอรี่อึดใช้งานได้ยาวนาน

ตัวหูฟังสามารถใช้งานได้ยาวนาน 4.5 ชั่วโมง (aptX Adaptive สามารถเล่นเพลงได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 2.9 ชั่วโมง) สแตนด์บายได้นานกว่าเดิม เมื่อใช้งานพร้อมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 22.5 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ก็สะดวกง่ายผ่านมาตรฐาน USB-C

มีจำหน่ายทั้งหมด 2 สี ได้แก่สีน้ำเงิน (Starry Blue) และสีขาว (Moonlight White)

โดยรวมแล้วเป็นหูฟัง True Wireless ที่น่าสนใจมาก ต่างจากรุ่นอื่นทั่วไปที่วางขายกันตามท้องตลาด ลดปัญหาเสียงกับภาพไม่ตรงกัน แม้จะระดับมิลลิวินาทีก็ทำให้อรรถรสในการเล่นเกมและดูหนังฟังเพลงลงไปเยอะมาก ด้วยค่าความหน่วงต่ำเพียงแค่ 88ms ตอบโจทย์เกมเมอร์มือถือที่ต้องการคุณภาพสูง แถมยังให้เสียงดีพอที่จะเอาไปฟังเพลงได้แบบระดับสตูดิโอ โดยรวมแล้วหูฟังออกแบบมาเพื่อสมาร์ตโฟนโดยเฉพาะ เหมาะกับไลฟ์สไตล์เพื่อใช้งานได้ในทุกวัน

Vivo TWS Neo เปิดตัวราคา 2,999 บาท หากใครสนใจสามารถซื้อได้ผ่าน Vivo Shop หรือร้านตัวแทนจำหน่าย แต่หากใครสะดวกออนไลน์ตอนนี้ก็มีขายทั้ง Lazada และ Shopee โดยสามารถใช้งานได้ทั้งกับ Android และ iOS ซื้อเพียงแค่ครั้งเดียวไม่ต้องเลือกระบบปฏิบัติการ แต่หากจะให้สมบูรณ์ครบทุกคุณสมบัติแนะนำให้ใช้งานร่วมกับ NEX, NEX Dual Display, NEX 3, iQOO 3, X50, X50 Pro, V19, V17, Y30, Y50 ของทางวีโว่นั่นเองครับ