พึ่งเปิดตัวกันไปไม่นานหลัง Fischer Audio จับมือ Generation S เปิดวางจำหน่าย Omega 3 รุ่น 3 เซี่ยน และต่อไปนี้คือ รีวิว Fischer Audio Omega Twin FE-351 ที่ให้คุณภาพ “เสียงดีเกินราคา” ซึ่งเป็นตัว TOP รุ่นที่แพงสุดแล้วในซีรีย์ แถมยังทำราคาได้ถูกกว่าหลายประเทศที่เปิดตัว งานนี้ขอให้คุณทิ้งหูฟังแถมสมาร์ทโฟนลงกล่องไปได้เลย

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (1)

Fischer Audio Omega Twin FE-351

เนื่องจากชื่อเต็มและรหัสค่อนข้างยาว ต่อไปนี้จึงขอเรียกแค่ว่า Omega Twin ราคา 2,790 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านมั่นคง Loft และ Be Trend พร้อมการรับประกันนาน 1 ปี

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (2)

สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นกูรูหูฟังหรือนักฟังเพลงหูเทพ เป็นเพียงแค่คนรักเสียงดนตรีและชอบฟังเพลงทั่วไป (เหมือนผม) อันนี้คงต้องขอยกความดีให้กับ Fischer Audio ที่เขียนสเปคด้านหลังกล่องมาได้เข้าใจง่ายมาก และรุ่นนี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับฟังเพลงแนว Jazz/Blues, Electronic/Pop, Rock/Metal

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (3)

โทนเสียงหลักจะเน้นเรื่องเบส อีกทั้งจุดเด่นอย่างไดร์เวอร์คู่ขนาด 7 มม. และ 9 มม. รวมถึงสิ่งที่แถมภายในกล่องและวิธีสวมใส่ที่ถูกต้อง (อันที่จริงมันน่าจะเป็นคู่มือได้เลย) และด้วยเหตุนี้เองด้านในจึงไร้คู่มือให้เป็นขยะล้นโลก ส่วนความลำบากของผู้ใช้คือต้องเก็บกล่องเอาไว้ (ถ้าคุณยังจำไม่ได้) นั่นเอง

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (4)

แกะมาภายในจะพบกับหูฟัง Omega Twin พร้อมกับกล่องใส่ถูกวางไว้อย่างสวยงาม ความขัดใจของผมก็คือหลายแบรนด์หูฟังพรีเมียมไม่รู้เป็นอะไร ชอบผลิตหูฟังสำหรับฟังเพลงอย่างเดียว (ไม่มีไมค์) คือสมัยนี้โลกเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก และคนส่วนใหญ่ก็นิยมฟังเพลงผ่านสมาร์ทโฟนกันทั้งนั้น แต่สำหรับ Omega Twin ออกแบบมาได้โดนใจเพราะมีไมค์มาด้วยเลยรอดตัวไป

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (5)

จุกหูฟังหลายขนาดที่แถมมา (อันที่จริงมีจุกขนาดกลางติดมากับหูฟังด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายมา) ทั้งหมดมีมาให้ครบคู่ ใครชอบแบบไหนใส่แล้วเสียงเข้ามากเข้าน้อย แน่นมากหรือสบายหูก็เลือกได้ตามสะดวกเลยครับ

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (6)

เพื่อเป็นการต้อนรับเดือนแห่งความรัก Fischer Audio จึงได้ออกแบบมาเป็นพิเศษรูปหัวใจ (ไม่ใช่แล้ว – -*) ตรงนี้ทำมาเพื่อให้คล้องกับใบหูจะได้ไม่รู้สึก “หนัก” หรือตึงหูมากเกินไป รวมถึงให้ความมั่นคงที่มากกว่าเหมาะกับคนที่มีขนาดใบหูทุกรูปแบบ

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (7)

ตรงนี้มีปุ่มมหัศจรรย์ปุ่มเดียวทำได้ทุกอย่าง เหมือนกับตำแหน่งพนักงานบางคนในบริษัท – -* (เริ่มดราม่าชีวิตทำงาน) สำหรับใช้วางสายและรับสาย หยุดเพลงชั่วคราว เล่นเพลงถัดไป ฯลฯ ผ่านการกดแบบ 1-3 ครั้ง รวมทั้งการผสมผสานและหว่างกันสั้นกับกดยาว (ลองไปดูในคู่มือเอาเอง) แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีปุ่มเพื่อปรับเสียงครับ

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (8)

สายถัก (ไม่แน่ใจเรื่องวัสดุ) แต่มันค่อนข้างเหนียวและแข็งแรงมาก รวมถึงมีการเคลือบด้วยวัตถุคล้ายพลาสติกอีกทีหนึ่ง เลยไม่มีปัญหาเรื่องคราบสกปรกอีกทั้งยังเช็ดทำความสะอาดง่าย ลดปัญหาสายพันกันในกระเป๋าด้วยครับ

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (9)

ทดสอบใช้งานกับ iPhone 6 ฟังเพลงผ่านไฟล์เสียงที่ค่อนข้างละเอียด รวมถึงแอพพลิเคชันสตรีมออนไลน์เสียงที่ได้จาก Omega Twin ให้เบสและต่ำค่อนข้างแน่นไม่แข็งกระด้าง ดนตรีกับคนร้องไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี หากให้ฟันธงคือใครเอาไปใช้กับ Electronic หรือ Rock นี่จะตอบโจทย์เป็นอย่างยิ่ง ส่วนเสียงแหลมอาจโดนกลบไปบ้างเล็กน้อย

Fischer Audio - Omega Twin FE-351 (10)

การใส่หูฟังสำหรับผู้หญิงในช่วงแรกอาจมีงง ๆ เบลอ ๆ ไปบ้างเล็กน้อย แต่คิดว่าสำหรับผู้ชายหรือนักเล่นหูฟังแล้วคงไม่ใช่ปัญหา อันที่จริงสำหรับคนที่ไม่เคยใส่ In-ear สไตล์คล้องหูแบบนี้ คงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อปรับตัว ส่วนการพกพาอาจไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ก็ยังดีกว่าพกหูฟัง Headphone ขนาดเต็มออกจากบ้านอยู่ดี

ข้อดี

  1. เสียงที่ได้เกินราคา
  2. ไมค์ในตัวและปุ่มรับสาย
  3. จุกหูฟังแถมหลากหลาย
  4. ไดรเวอร์เสียงคู่ที่ทรงพลัง

ข้อเสีย

  1. มีแค่ปุ่มเดียวและไม่มีปุ่มปรับเสียง

สรุป

โดยรวมแล้วค่อนข้างพึงพอใจในหลายสิ่ง หากคุณต้องการหูฟังคู่ใจเพียงตัวเดียวที่ใช้งานได้หลากหลายและหวังผลเรื่องเสียงไว้มาก Omega Twin จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง