คนที่ซื้อ iPhone 11 Pro Max หรือจะเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นไหนก็ตาม คงต้องกำลังมองหาฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอยสักอัน แต่ก็ไม่รู้จะไปติดยี่ห้อไหนดี ในวันนี้เราจึงอยากจะขอรีวิวแนะนำแบรนด์น้องใหม่อย่าง PolarBear ซึ่งเราจะมาทำความรู้จักกัน เพื่อที่จะได้รู้จักว่าของดีและถูกมีอยู่จริง ติดเองง่ายกว่าที่คิดประหยัดกว่าการไปติดตามร้านตู้

ฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอย PolarBear
ฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอย PolarBear

ฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอย PolarBear

สำหรับแบรนด์โพลาร์แบร์ (PolarBear) เป็นฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอย (Tempered Glass Premium Screen Protector) เน้นความง่ายในการติดตั้งด้วยตัวเองและหาซื้อง่ายผ่านทาง Lazada และ Shopee ซึ่งแน่นอนว่ายังไงก็ถูกกว่าการไปติดตามร้านตู้ แถมใครล่ะ! ที่จะดูแลเครื่องเราดีเท่ากับตัวเราเอง ดังนั้นติดเองถูกใจที่สุดครับ แถมไม่ยากเลย

คุณสมบัติ

  • ป้องกันรอยขีดข่วน (Anti-Scratch)
  • สัมผัสลื่น (Smooth touch)
  • ไม่แตกบาดมือ (Shatter proof)
  • แข็งแรงระดับ 9H (9H Hardness)
  • ฟิล์มกระจกนิรภัยเต็มจอ (Full coverage)
  • ให้ความคมชัดสูง (Transparency)
  • เคลือบลดรอยนิ้วมือ (Anti-Fingerprint)
  • ใช้ร่วมกับเคสได้ทุกชนิด (Case Friendly)

ตัวแพ็กเกจมาแบบหน้าตาน่ารักเป็นเอกลักษณ์ดีในรูปแบบซองจดหมาย (แท่นวางไม่แถมนะครับ)

9H คืออะไร ?

หน่วยวัดความแข็งของฟิล์มกันรอย (Film Hardness) หรือฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอย (Tempered Glass Hardness) โดยทั่วไปจะผ่านการขูดขีดแบบ “Pencil Hardness Test” ในรูปแบบต่าง ๆ จนได้ค่าออกมาตั้งแต่อ่อนสุด 6B ไปจนถึง 9H ซึ่งมีความแข็งแรงรองมาจากเพชรเท่านั้น ส่วนพวกวัสดุทั่วไปในชีวิตประจำวันอย่างเล็บหรือเหรียญกันได้สบายมาก

แกะมาภายในกล่องก็จะประกอบไปด้วยวัสดุที่จำเป็น ยกตัวอย่างเช่นอุปกรณ์สำหรับเช็ดทำความสะอาด (ซองดำซ้ายสุด), ฟิล์มกันรอยด้านหลังแบบเคฟล่า, และสุดท้ายก็คือฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอยนั่นเอง ครบเครื่องแบบไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มอีก อันนี้สะดวกมากตรงที่ซื้อชุดเดียวติดได้เลย ไม่ต้องไปเตรียมเทปกาวหรือน้ำยาทำความสะอาดอะไรอื่นใดให้วุ่นวายอีก

ในส่วนของฟิล์มกันรอยอันนี้พอลอกแล้วโลโก้จะหลุดออกไปนะครับ เผื่อใครเข้าใจผิด (ฮา)

วิธีทำความสะอาดก่อนติดฟิล์มกันรอย

การเตรียมการก่อนติดฟิล์มกันรอย เป็นหนึ่งในวิธีที่สำคัญมากในการติดตั้ง (และหลายคนยังไม่ทราบ) เพื่อให้การติดตั้งของเราออกมาสมบูรณ์ที่สุด ผู้ผลิตจึงได้แนบอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นมาให้เลย อาทิ แผ่นดึงฝุ่น, สติกเกอร์นำร่อง, กระดาษเปียก, แม้กระทั่งแผ่นผ้าขนาดเล็กสำหรับเช็ดหน้าจอก่อนติดตั้งเองก็ตาม ผู้ใช้งานไม่ต้องเตรียมอะไรเพิ่มเลย

ใช้ทิชชู่เปียกเช็ดหน้าจอ
ใช้ทิชชู่เปียกเช็ดหน้าจอ
ใช้ผ้าเช็ดจอให้สะอาด
ใช้ผ้าเช็ดจอให้สะอาด
ใช้สติกเกอร์ดักฝุ่นแปะให้ทั่วหน้าจอ
ใช้สติกเกอร์ดักฝุ่นแปะให้ทั่วหน้าจอ

ขั้นตอนการทำความสะอาดหน้าจอ

  1. ใช้ทิชชู่เปียกเช็ดหน้าจอ
  2. ใช้ผ้าเช็ดจอให้สะอาด
  3. ใช้สติกเกอร์ดักฝุ่นแปะให้ทั่วหน้าจอ

จากนั้นเมื่อลอกฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอยออกมาจะเป็นดังภาพ อันนี้จะเป็นแบบเต็มหน้าจอสำหรับ iPhone 11 Pro Max (หากคุณใช้รุ่นอื่นก็ลองสอบถามไปดูได้) โดยด้านขอบจะโค้งรับเข้ากับตัวเครื่องเลย สัมผัสแล้วรู้สึกว่ามันไม่สะดุดเหมือนกับแบบไม่เต็มจอ ซึ่งหากใครเคยใช้มาก่อนคงจะทราบกันเป็นอย่างดีว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน เวลาสัมผัสแล้วสะดุด

จากนั้นก็ค่อยวางลงไปโดยใช้สติกเกอร์นำร่อง แต่หากใครสะดวกใช้มือแบบผมก็ไม่ว่ากัน คำแนะนำในการติดตั้งคือต้องให้แน่ใจว่าเราดึงฝุ่นออกหมดแล้ว อยู่ในห้องที่ไม่มีลมพัดรุนแรงหรือไม่มีฝุ่นเลยได้ยิ่งดี (ปิดพัดลมหากทำได้) และตอนวางกระจกลงไปลองเล็งจากช่องลำโพงสนทนา จะช่วยให้ลดความผิดพลาดเรื่องเอียงหรือเบี้ยวได้มากกว่าการวางแบบปกติ

จากนั้นค่อย ๆ วางลงไปตัวกระจกจะแนบกับหน้าจออัตโนมัติ อากาศจะค่อย ๆ ไล่แล้วติดกันไปเอง ตรงนี้มีคำแนะนำเล็กน้อยหากคุณพบเศษฝุ่นยังพอลอกออกมาแก้ไขได้อยู่ ให้คุณค่อย ๆ งัดดึงขึ้นมาอย่างใจเย็น แล้วใช้เทปแปะฝุ่นที่ติดอยู่บริเวณกระจกหรือหน้าจอออกไป ส่วนเรื่องฟองอากาศแทบจะไม่มีทางได้เจอ เป็นเรื่องปกติของการติดกระจกชนิดนี้

สภาพหลังติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ประทับใจดี ใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีก็เสร็จเรียบร้อย (ง่ายกว่าที่คิด) ตอนรีวิวผมเตรียมเอาไว้สองแผ่นเผื่อได้ใช้งาน แต่สรุปแล้วแผ่นเดียวก็ผ่านฉลุยไม่เจอปัญหาอะไร สำหรับมือใหม่คงวางใจได้เลยว่าขนาดผู้เขียนที่แทบไม่เคยติดกันรอยก็สามารถทำเองได้ ดังนั้นคุณเองก็สามารถซื้อไปติดตั้งเองที่บ้านได้เหมือนกัน

ทดลองเอาคัตเตอร์กรีดดูเบื้องต้น 2-3 ทีด้วยความแรงและองศาที่ต่างกัน ก็ไม่เจอรอยอะไรบนหน้าจอ ดังนั้นเรื่องเหรียญหรือกุญแจก็ไม่ต้องกังวล แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือฝุ่นขนาดเล็กที่มีความแข็งมาก ๆ ต่างหาก ถ้าเราใช้งานไปสัก 2-3 ปีอาจมีริ้วรอยบ้างนิดหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่กว่าจะถึงเวลานั้นเราคงเปลี่ยนเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็เปลี่ยนฟิล์มใหม่

สำหรับปัญหาเคสกินฟิล์มก็สบายใจได้เลย เพราะดูจากองศาแล้วผลิตออกมาได้เป๊ะมากชนิดที่ไม่ล้นหน้าจอออกไปเลย ดังนั้นจะไม่มีทางเจอปัญหาเรื่องเคสดันหรือกินฟิล์มแน่นอน สามารถใช้งานได้กับเคสส่วนใหญ่เกินกว่า 95% ในท้องตลาด และเมื่อใช้งานร่วมกันทั้งเคสและกระจกนิรภัย ก็เท่ากับว่าเครื่องเราจะกันกระแทกได้อย่างสมบูรณ์ ใช้งานแล้วอุ่นใจมากขึ้น

ทดสอบเล่นเกมและดูวิดีโอทั่วไป แทบไม่รู้สึกว่าสีที่ได้จากหน้าจอ Super Retina XDR ของเครื่อง iPhone 11 Pro Max แตกต่างไปจากเดิม ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สีไม่เพี้ยน เมื่อใช้งานระบบสัมผัสก็ยังคงความลื่น เหมือนกับตอนไม่ติดฟิล์มแทบทุกประการ สามารถใช้ FaceID ได้อย่างแม่นยำเหมือนเดิม การใช้งานโดยรวมประทับใจครับ

อวยข้อดีกันมาเยอะข้อบ่นเรื่องข้อเสียเล็กน้อย ส่วนตัวผมเองและผู้ใช้งาน Apple หลายท่านอาจจะอยากโชว์หลังเครื่อง (นั่นเป็นเหตุผลให้เราซื้อเคสใส) แต่ฟิล์มหลังที่แถมมาเป็นแบบเคฟล่าทำให้ไม่ถูกใจสักเท่าไหร่ ผมก็เลยไม่ได้ติดตั้งทำให้ไม่มีภาพมารีวิวกัน สรุปก็คือยกให้เพื่อนที่ชอบแนวนั้นไป ถ้าหากแถมเป็นแบบใสน่าจะถูกใจคนส่วนใหญ่มากกว่าครับ

ข้อดี

  1. คุ้มค่า ราคาประหยัด
  2. กันกระแทก/แตก/รอยขีดข่วน
  3. ป้องกันคลอบคลุมเต็มพื้นที่จอ
  4. ขนาดบางเพียง 0.3 มม.
  5. สัมผัสลื่น สียังสดเหมือนเดิม

ข้อเสีย

  1. กันรอยหลังที่แถมเป็นเคฟล่า
  2. สั่งผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น

สรุป

โดยรวมแล้วประทับใจสองเรื่องคือ “ราคา” และ “คุณภาพ” บางครั้งเราจะไปซื้อแบรนด์ก็แพงเกินจำเป็น และหากจะไปลุ้นของโนเนมหรือจีนตามตลาดก็ต้องวัดดวงอีก PolarBear ถึงแม้ว่าเป็นแบรนด์น้องใหม่ แต่ก็ทำสินค้าออกมาได้คุณภาพไม่แพ้กับเจ้าตลาด แถมตอนนี้ก็เริ่มมีขายหลายรุ่นแล้วตั้งแต่ iPhone 7 ไล่มาจากถึง iPhone 11 ในทุกขนาดหน้าจอ

ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือซื้อสินค้าที่
📞 Tel : 091-789-0888
📧 LINE@ : @polarbearshield
💻 Facebook : PolarBear ฟิล์มกระจกนิรภัยกันรอย
🛒 Shopping : Lazada และ Shopee

หมายเหตุ – บทความนี้เป็น Advertorial